บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ตั้งเป้าหมายทำผลงานงวดครึ่งปีหลังเติบโตแข็งแกร่ง หลังได้รับคำสั่งซื้อถุงมือยางจากทั่วโลกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ หนุนเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ด้านโบรกเกอร์ชั้นนำประสานเสียงให้คำแนะนำซื้อ คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 จะเติบโตอย่างโดดเด่น หลังปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ยถุงมือยาง
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่าบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายทำผลงานงวดครึ่งปีหลังของปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากขณะนี้ยังคงได้รับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ถุงมือยางจากทั่วโลกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, ทวีปยุโรป ฯลฯ โดยในบางประเทศเกิดการแพร่ระบาดรอบที่ 2 (Second Wave) และรอบที่ 3 (Third Wave) ส่งผลให้ถุงมือยางเป็นสินค้าที่มีความต้องการใช้ในทางการแพทย์ตลอดจนภาคธุรกิจและการบริการต่างๆ เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตใหม่ในยุค New Normal ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขอนามัยมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จากคำสั่งซื้อสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเพื่อเร่งผลิตและส่งมอบสินค้า ประกอบกับราคาน้ำยางไนไตรล์และน้ำยางข้นซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักในการผลิตปรับสูงขึ้น จึงได้ปรับราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาให้สอดคล้องกับต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถการทำกำไรอยู่ในระดับที่เหมาะสม
?เรามั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราสามารถทำผลการดำเนินงานได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ปัจจุบันเราเร่งเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าอย่างเต็มที่และให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินค้าทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีถุงมือยางที่ดีในการปกป้องทุกการสัมผัสแก่ผู้ใช้งาน เพราะทุกสัมผัสนั้นมีความหมายต่อชีวิต สอดคล้องกับแนวคิด Touch of Life ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย? นางสาวจริญญา กล่าว
ทั้งนี้ โบรกเกอร์ชั้นนำจากต่างประเทศทยอยออกบทวิเคราะห์หลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง แนะนำ ?ซื้อ? ให้ราคาเป้าหมายหุ้น STGT ไม่ต่ำกว่า 100 บาท โดย CITI ให้ราคาเป้าหมายหุ้นละ 145 บาท Credit Suisse ให้ราคาเป้าหมายหุ้นละ 142 บาท และ CLSA ให้ราคาเป้าหมายหุ้นละ 133 บาท
ขณะที่โบรกเกอร์ในประเทศหลายรายปรับราคาประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายอย่างต่อเนื่องพร้อมคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 จะเติบโตอย่างโดดเด่นและมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ ?ซื้อ? และราคาเป้าหมายหุ้น STGT ที่ 90 บาท โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 2,700 ล้านบาท เติบโต 158%
จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตถึง 2,500% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ ?ซื้อ? และคาดการณ์ STGT จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 2,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123%จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2,150% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย STGT ที่ 109 บาทต่อหุ้น พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 จะเพิ่มขึ้นกว่า 200% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ ?ซื้อ? และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 เป็น 4,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 664% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 2564 อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน