NER กางผลงานไตรมาส 3 ปี 2563 กำไรพุ่ง 150 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หลังปริมาณการขายทะลุ 1 แสนตัน กวาดรายได้รวมไปเกือบ 4,337 ล้านบาท ตามยอดคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะยอดส่งมอบออเดอร์ระยะยาวลูกค้า 2 รายใหญ่จากจีนรวม 7.2 หมื่นตัน/ปี มั่นใจแนวโน้มโค้งสุดท้ายยังโดดเด่น รับอานิสงค์ราคายางพาราพุ่ง-ขยายฐานลูกค้าอินเดีย หนุนภาพรวมผลงานทั้งปี 2563 มีโอกาสโตทะลุเป้า
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน (Ribbed Smoked Sheet : RSS), ยางแท่ง (Standard Thai Rubber : STR) และยางผสม (Mixtures Rubber) เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 ว่า บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 152.32 ล้านบาท (โดยได้รวมความเสียหายจากกรณีเกิดเพลิงไหม้อาคารเก็บสินค้าเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 จำนวนเงิน 30.89 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ระหว่างการเรียกร้องจากบริษัทประกันภัย) นับเป็นการเติบโตที่โดดเด่นทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากไตรมาส 2/63 ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายปรับดีขึ้น
โดยมีปริมาณการขาย 106,292 ตัน ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 72% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นรายได้จากการขายรวมทั้งสิ้น 4,336.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามปริมาณยอดคำสั่งซื้อ (Order) จากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศจีนที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทฯ ได้ทยอยส่งมอบยางพาราสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) ให้กับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์และรถบรรทุกรายใหญ่จากประเทศจีน จำนวน 2 ราย ได้แก่ LLIT และ Triangle Tyre รวม 72,000 ตัน/ปี และเป็นสัญญาระยะสั้นอีกราว 2-3 ราย
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คำสั่งซื้อที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น หนุนกำลังการผลิตโรงงานแห่งใหม่ขยับเป็น 70% ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมโรงงาน 2 แห่งในปัจจุบันอยู่ที่ 360,000 ตัน และจะขยับเพิ่มเป็น 406,000 ตันในปี 2564 ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการประสิทธิภาพการผลิตได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 มั่นใจผลการดำเนินงานยังคงเติบโตโดดเด่นทำนิวไฮต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2563 มีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ รายได้ 17,000 ล้านบาท และยอดขาย 365,000 ตัน อีกทั้งยังมีโมเมนตั้มการเติบโตที่โดดเด่นต่อเนื่องในปี 2564 ตามปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงอานิสงค์ราคายางพาราที่มีแนวโน้มขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามปริมาณความต้องการในตลาดโลก
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ในอินเดียสัญญา Long Term Contact จำนวน 2 ราย เบื้องต้นคาดจะสามารถสรุปรายละเอียดเงื่อนไขคำสั่งซื้อที่ชัดเจนได้ภายในช่วงต้นปี 2564