เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เคพีเอ็มจี ประกาศปณิธานการเป็นองค์กรคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Carbon Organization) ภายในปี 2573 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการมุ่งเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและเสนอแนวทางรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศให้กับเครือข่ายเคพีเอ็มจีทั่วโลก ตลอดจนถึงลูกค้าและสังคม
เพื่อสนับสนุนเป้าหมายนี้ เคพีเอ็มจี ได้ลงนามในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยหนึ่งในภารกิจคือควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามเป้าหมายของโครงการ Science Based Targets ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ทั้งทางตรงและทางอ้อมของเคพีเอ็มจี ลงร้อยละ 50 ภายในปี 2573
นอกจากนี้แล้ว เครือข่ายเคพีเอ็มจีทั่วโลก ยังมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้
- การใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน (Renewable Electricity: RE) ร้อยละ 100 ภายในปี 2565 ในกลุ่มประเทศคณะกรรมการ และภายในปี 2573 สำหรับประเทศอื่นๆ ในเครือข่าย
- ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหลือผ่านวิธีการชดเชยคาร์บอนที่ได้รับการรับรองจากภายนอก เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เหลือซึ่งไม่สามารถขจัดออกจากกระบวนการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานได้
เคพีเอ็มจี ใช้ผู้เชี่ยวชาญภายในเพื่อประเมินแนวทางการลดคาร์บอน (Decarbonization) และได้พัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ปริมาณคาร์บอนสำหรับเครือข่ายเคพีเอ็มจี ที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายจากล่างขึ้นบน
แบบจำลองนี้แสดงถึงผลกระทบและแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจ สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการด้านภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของเครือข่ายเคพีเอ็มจี จะส่งผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เคพีเอ็มจีจะติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายต่างๆ นี้ โดยการวัดผลและรายงานไปยัง Carbon Disclosure Project: CDP (โครงการเปิดเผยข้อมูลคาร์บอน) และ Science Based Targets initiative (SBTi)
เคพีเอ็มจีจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับบุคลากรของเราเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับปณิธานด้านสิ่งแวดล้อม และจะระดมทีมเพื่อสนับสนุนการมุ่งหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
บิลล์ โทมัส ประธานและซีอีโอ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "ความพยายามของเรามีความก้าวหน้าและมีคุณค่าในการช่วยให้เครือข่ายเคพีเอ็มจีทั่วโลกและลูกค้าของเราเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ด้วยความท้าทายด้านภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญ แสดงให้เห็นว่าเรายังต้องไปต่อ"
"ผมรู้สึกยินดีที่ปณิธานใหม่ที่เราประกาศจะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการสร้างความมั่นใจให้กับบุคลากรของเราและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งส่งเสริมให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีในการกำหนดอนาคต"
"แผนการลดคาร์บอนของเราไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในการลดผลกระทบของภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในโลกอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการทำงานของลูกค้า ด้วยปณิธานของเครือข่ายเคพีเอ็มจีทั่วโลก ผมมั่นใจว่าวันนี้เราตัดสินใจถูกต้องในการสร้างความแตกต่างเพื่อวันพรุ่งนี้"
การประกาศปณิธานดังกล่าวเป็นผลมาจากความคืบหน้าของเคพีเอ็มจี ในการลดผลกระทบโดยรวมต่อสิ่งแวดล้อม โดยในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เคพีเอ็มจีได้ลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิต่ออัตราส่วนบุคลากร (FTE) ลงราว 1 ใน 3 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ เคพีเอ็มจี ยังอยู่ในระหว่างการติดตามเพื่อบรรลุเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนในปี 2563 ที่ร้อยละ 60
เครือข่ายเคพีเอ็มจีทำงานร่วมกับลูกค้าทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนในธุรกิจและห่วงโซ่อุปทาน และผนวกแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ไว้ในทุกสิ่งที่ลูกค้าลงมือทำ แผนก KPMG IMPACT ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ ได้รวบรวมความรู้ความเชี่ยวชาญของเคพีเอ็มจีในการสนับสนุนลูกค้าเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่โลกของเรากำลังเผชิญ โดยมีจุดประสงค์ที่จะสร้างการเติบโตอย่างมีเป้าหมายและบรรลุความก้าวหน้าตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)
ริชาร์ด เธรลฟอล หัวหน้าฝ่าย KPMG IMPACT กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศปณิธานนี้ว่า "ผมรู้สึกยินดีที่ เคพีเอ็มจี เสริมสร้างความมุ่งมั่นที่มีต่อวาระการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกโดยใช้เป้าหมายทางวิทยาศาสตร์กับแผนการลดคาร์บอนที่ได้ประกาศไปนี้ เคพีเอ็มจีมีความรับผิดชอบเช่นเดียวกับลูกค้าที่เราให้บริการ ในการลดและบรรเทาผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว ผมเชื่อว่าการสานต่อปณิธานของเคพีเอ็มจีในประเด็นสำคัญนี้จะช่วยให้เราดำเนินการและทำงานร่วมกันกับลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจของเขาด้วย"
พอล ฟลิปส์ หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน เคพีเอ็มจีประเทศไทย กล่าวว่า "พนักงานของเรามีความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับสูง และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย ได้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันได้แก่ การประหยัดพลังงานในสถานที่ทำงาน การปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัล การลดการใช้กระดาษและการลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ในด้านการสนับสนุนลูกค้าของเราในการเสริมสร้างกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในการวัดผล จัดการ และสื่อสารความคืบหน้าการปฏิบัติการตามแนวทาง ESG"
เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานกรรมการบริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าวสรุปว่า "การเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นหนทางสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เคพีเอ็มจี ประเทศไทยจะร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชุมชน และสังคม เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและจะดำเนินงานร่วมกับลูกค้าของเราในการพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเครือข่ายเคพีเอ็มจีทั่วโลกในการเป็นองค์กรคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2573"