เจมาร์ท เผยงบ Q3/63 กำไรอยู่ที่ 261 ล้านบาท โตแรงเกิดคาด 110% หนุนงวด 9 เดือน กำไรอยู่ที่ 527 ล้านบาท เติบโต 39% ซึ่งกำไร 9 เดือนแรกใกล้เคียงกับกำไรทั้งปีของปี 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากความสำเร็จของบริษัทย่อย และบริษัทร่วมที่ลงทุน มีผลประกอบการที่ดี New High ในเกือบทุกธุรกิจ คาด Q4/63 แรงต่อเนื่อง เพราะเข้าช่วงไฮซีซั่นในธุรกิจค้าปลีก และการเงิน โดยธุรกิจบริหารหนี้ยังเด่นสุด หนุนงบปี 63 สุดสตรองต่อเนื่อง จับตาสตอรี่เด่นต่อไปในเครือเจมาร์ท มั่นใจไม่ทำให้ผิดหวัง
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company เปิดเผยว่า ภาพรวมเจมาร์ทมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิอยู่ที่ 261 ล้านบาท เติบโต 110% และกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกปี 2563 อยู่ที่ 527 ล้านบาท เติบโต 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และใกล้เคียงกับกำไรทั้งปีของปี 2562 ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทย่อย และบริษัทร่วมที่ลงทุน มีผลประกอบการที่ดี มีความสามารถในการทำกำไรในทุกบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT ที่โดดเด่นทำนิวไฮใหม่ได้ต่อเนื่องในทุกไตรมาส ผนวกกับ ผลประกอบการบริษัทย่อย ในธุรกิจค้าปลีก และบริษัทร่วม ซิงเกอร์ มีผลประกอบการที่ดี โดยเชื่อมั่นว่า กลุ่มเจมาร์ทจะสามารถสร้างพลัง Synergy ต่อไป ด้วยเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ในด้านรายได้รวมในไตรมาส 3/2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,889.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีที่ผ่านมา 8.1% และสำหรับ 9 เดือนแรก บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,880 ล้านบาท ลดลง 2.4% เนื่องจาก ยอดขายที่ลดลงในช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/2563 กลับมาฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ภายหลังจากที่รัฐบาลค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ
นายอดิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย กำไรในระดับ 261 ล้านบาท ถือเป็นฐานกำไรใหม่ของบริษัท เนื่องจาก ธุรกิจทั้งสายการเงิน และค้าปลีกเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีสถานการณ์โควิด-19 จากความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยง และบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2563 ยังเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจค้าปลีก ทั้งโทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าเทคโนโลยีที่เปิดตัวออกมาในช่วงปลายปี ซึ่งมีแรงบวกเพิ่มอีกจาก นโยบาย
ช้อปดีมีคืน ของรัฐบาล อีกทั้ง ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า มีการบริหารโครงการที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจการเงิน ด้านสินเชื่อยังโตตามแผน ส่วนธุรกิจบริหารหนี้มีแนวโน้มซื้อหนี้เข้ามาบริหารสูงสุดในช่วงปลายปี และการจัดเก็บที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เรายังอยู่ระหว่างมองหาโอกาสในการขยายการลงทุน ตามแผนการขอกรอบ General Mandate ต่อผู้ถือหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเพียงแค่กรอบในการระดมทุนที่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น ด้วยเป้าหมายการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ JMART เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และปัจจุบัน กลุ่มเจมาร์ทมีมาร์เก็ตแคปรวมทั้งเครือโตแตะ 5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะของ JMART มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ราว 14,800 ล้านบาท (ราคา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563)