บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) โชว์งบไตรมาส 3/63 กำไรจากงบการเงินรวม 69.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247% YoY ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 391.51 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 80% YoY เหตุดีมานด์ออเดอร์เสริมอาหารโตต่อเนื่องสวนกระแสเศรษฐกิจซบเซาท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ด้าน CEO "ธนิน ศรีเศรษฐี" การันตีความแข็งแกร่งขานรับออเดอร์รายใหญ่ผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มโพรไบโอติกส์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี พร้อมเร่งปรับโครงสร้างบริษัทย่อยหนุนผลงานปี 64 เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยถึง ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 นั้น บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 391.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 68.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 365 ขณะที่กำไรส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 69.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 247 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 1,163.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 150 และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 201.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 162 และกำไรส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 173.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 119 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปี 2563 นี้ บริษัทฯมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเทียบจากปีก่อนท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
หากเทียบไตรมาสที่ 3 กับ ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 (QoQ) บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 391.51 ลดลง 9% กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 68.21 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7% และกำไรส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 69.45 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เป็นผลกระทบมาจากผลขาดทุนของบริษัทย่อยทั้ง 2 บริษัท คือ บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) และบริษัท อัลทิมา ไลฟ์ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากงบเดี่ยวของ DOD เทียบไตรมาสที่ 3 กับไตรมาสที่ 2 ปี 2563บริษัทฯมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 298.59 ล้าน เพิ่มขึ้น 27% กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 87.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 88.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จะเห็นได้ว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทฯมีการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) ต่อเนื่อง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ปรับพฤติกรรมมาเน้นดูแลสุขภาพมากขึ้น ภายหลังจากเกิดการระบาดเชื้อโควิด-19
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DOD กล่าวเพิ่มเติม กรณีการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทฯ โดย บริษัทพีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DOD ได้มุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณประเภท สกินแคร์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง และคาดเห็นการเติบโตโดดเด่นช่วงปลายปี 2563 เป็นต้นไป
ขณะที่ธุรกิจเครือข่ายผ่านบริษัท อัลทิมา ไลฟ์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DOD ได้มุ่งเน้นในการบริหารด้านการขายและค่าใช้จ่ายให้เกิดความสมดุล โดยได้หันมามุ่งเน้นการขยายตลาดผสมผสานกันทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ และกลุ่มความงาม (Healthy and Beauty) อีกทั้งปรับค่าใช้จ่ายด้านการตลาดให้ลดลงเนื่องจากแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้างแล้ว ดังนั้นจึงมีความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มการเติบโตของ 2 บริษัทย่อยจะเป็นตัวแปรสำคัญผลักดันผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2563 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าจะรักษาการเติบโตต่อเนื่อง เพราะนอกเหนือจากออเดอร์ของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีออเดอร์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นประเภทผลิตภัณฑ์เม็ดแคปซูลเม็ดตอก และผลิตภัณฑ์ผงชงดื่มแบบบรรจุกระป๋องเข้ามาต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯยัง มีออเดอร์ในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่กลุ่มโพรไบโอติก รูปแบบเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (Active) ซึ่งเบื้องต้นจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้า และรับรู้รายได้ของกำลังการผลิตเฟสแรกตั้งแต่ไตรมาส 4/2563 เป็นต้นไป
สำหรับการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มโพรไบโอติก ในเฟสแรกจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทผงในซองขนาดเล็ก 3 กรัม พร้อมรับประทานมีกำลังการผลิตอย่างน้อย 1 ล้านซองต่อเดือน คาดเป็นส่วนผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100 ล้านบาทต่อปี และหลังจากนั้นก็จะพิจารณาขยายการผลิตเพิ่มมากขึ้น และมีแนวทางเพิ่มผลิตภัณฑ์ประเภทแคปซูลในเฟสถัดไป
นายธนิน กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า แม้บริษัทฯจะมีการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัท DOD แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะงบการเงินเดี่ยวของ DOD แล้วจะพบว่าแนวโน้มรายและกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นการสะท้อนถึงศักยภาพธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่ที่ปรับพฤติกรรมมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น และด้วยผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารของบริษัทฯที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากสถาบันระดับโลก ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯรักษาอัตราการเติบโตสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังซบเซา และสำหรับปี 2564 ภายหลังการปรับโครงสร้างภายในของบริษัทย่อยประสบความสำเร็จแล้วจึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีทองที่จะสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน