รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าในช่วงเดือน ก.ค.63 - ก.ย.63 แม้หลายประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid -19 ในภาพรวมยังไม่ดีขึ้น และยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 63/64 (ก.ค.63 - ก.ย.63) บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,329.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,762.5 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 15.7% อย่างไรก็ตามบริษัทได้นำนโยบายลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือ นโยบาย "USE" (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) มาใช้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.2% และมีกำไรสุทธิ 307.7 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 326.3 ล้านบาท หรือลดลง 5.7% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 63/64 (เม.ย.63 - มิ.ย.63) มีกำไรสุทธิ 74.6 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 312.6% แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในรายไตรมาส
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้ แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 637.4 ล้านบาท หรือลดลง 20.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่มียอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดลงจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งเกิดความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มบริษัท แอร์โรเฟลกซ์ สามารถรักษาระดับยอดขายได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน
ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,082.9 ล้านบาท หรือลดลง 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัท แอร์โรคลาส ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลดลง แต่ธุรกิจในประเทศออสเตรเลียมียอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากเปรียบเทียบรายไตรมาสยอดขายของกลุ่มแอร์โรคลาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากคำสั่งซื้อของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ และธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย
สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 609.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศลดลง แต่ได้รับประโยชน์จากบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท กล่องใส่อาหารชดเชย เนื่องจากผู้บริโภคนิยมสั่งอาหารเดลิเวอร์รี่ หรือซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตามยอดขายของบริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า 1,625.2 ล้านบาท ลดลง 15.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามสัดส่วนการลดลงของยอดขาย โดยได้รับผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่อ่อนตัวลง ชดเชยกับต้นทุนคงที่ต่อหน่วยที่สูงขึ้น และบริหารจัดการให้ต้นทุนในการผลิตลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ที่ 21.1 ล้านบาท โดยบริษัทร่วมทุนที่ผลิตสินค้าเพื่อขายให้อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากการที่ค่ายรถยนต์ในประเทศกลับมาเปิดดำเนินงาน
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 63 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 ก.ย. 63 ในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท (เก้าสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 252 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 30 พ.ย.63 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธ.ค.63
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG: ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีธุรกิจหลักคือ ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ EPP ทั้ง 3 ธุรกิจ ประสบความสำเร็จและเติบโตได้ด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้นำทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ มีโรงงานรวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศทั่วโลก