บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ ท็อปฟอร์มโชว์ผลงาน Q3/63 พลิกเป็นกำไร 17.97 ล้านบาท เติบโต 783% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2.63 ล้านบาท และกวาดรายได้ 227.74 ล้านบาท โต 6.29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 214.26 ล้านบาท รับอานิสงส์ราคาวัตถุดิบต่ำ หนุนกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 25.79% ด้านเอ็มดี "ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา" แย้มผลงาน Q4/63 ดีต่อเนื่อง พร้อมคาดผลงานปีนี้จะพลิกเป็นบวกได้ หลังงวด 9 เดือนทำได้แล้ว 24.41 ล้านบาท เผยกลยุทธ์ช่วงที่เหลือเน้นบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์ COVID-19 อย่างใกล้ชิด
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 227.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 214.26 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 44.09% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ทำได้ 158.05 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น หลังจากการกลับมาเปิดประเทศทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้เป็นปกติทั้งในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศ ขณะที่ความต้องการสินค้าก็กลับมาอยู่ในระดับปกติ สำหรับประเทศมาเลเซีย ถึงแม้จะยังคงมีการปิดประเทศแบบมีเงื่อนไขในไตรมาส 3 แต่อย่างน้อยธุรกิจก็สามารถกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติ จึงสนับสนุนรายได้รวมให้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ยกเว้นธุรกิจรองเท้าที่ยังคงชะลอตัวเนื่องจากการเลื่อนการเปิดเรียนออกไป
ทั้งนี้ในไตรมาส 3/2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 783.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2.63 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 103% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไร 8.85 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุการเติบโตมาจากรายได้ที่กลับมาอยู่ในภาวะปกติ และบริษัทฯสามารถรักษาความได้เปรียบในด้านต้นทุนไว้ได้จากการซื้อวัตถุดิบไว้ในช่วงที่ราคาต่ำ จึงทำให้กำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2563 ยังคงอยู่ในระดับสูงคือ 25.79% เมื่อเทียบกับในไตรมาส 2/2563 ที่ 23.92% และในไตรมาส 3/2562 ที่18.09%
กรรมการผู้จัดการ NDR กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2563 น่าจะดีต่อเนื่อง หลังจากคาดว่าราคาวัตถุดิบยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการปีนี้จะสามารถพลิกเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 19 ล้านบาท ซึ่งงวด 9 เดือนบริษัทฯสามารถทำกำไรสุทธิแล้ว 24.41 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้มาตรการที่รัดกุมในเรื่องของการลงทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 อย่างใกล้ชิด