บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิ 108.5 ล้านบาท และรายได้รวม 624.9 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานตลอด 9 เดือนของปี 2563 มีกำไรสุทธิ 251.3 ล้านบาท และรายได้รวม 1,988.1 ล้านบาท เทียบผลประกอบการไตรมาส 3/2563 กับไตรมาสที่ผ่านมา พบกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 107% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบผลประกอบการช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาภาพรวมลดลงเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2562 ที่ขยายตัวเพียง 2.4% ด้านลูกหนี้มีการชำระกลับเป็นปกติในไตรมาสจำนวนสูงถึง 92.2% ส่งผลให้การตั้งสำรองน้อย ย้ำเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ด้วยมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนผลประกอบการในต่างประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนและมีสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศ 24% ณ สิ้นไตรมาส 3 คาดสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 26% ภายในสิ้นปี 2563 นี้ ย้ำ TK ยังคงเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศทันทีเมื่อมีโอกาส
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดไตรมาส 3/2563 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,988.1 ล้านบาท ลดลง 30.9% จาก 2,879.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 251.3 ล้านบาท ลดลง 28.9% จาก 353.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนช่วงเวลาเดียวกัน โดยในไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 108.5 ล้านบาท ลดลง 19.6% จาก 135.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และรายได้รวม 624.9 ล้านบาท ลดลง 33.3% จาก 937.4 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิรวม 5,201.2 ล้านบาท ลดลง 30.1% จาก 7,438.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2562 จากนโยบายเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่องมา 8 ไตรมาส ผลประกอบการดังกล่าว เป็นการตั้งสำรองโดยใช้มาตราฐานบัญชี TFRS 9 ทั้งนี้ หากบริษัทฯ ตั้งสำรองตามข้อผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี บริษัทฯ จะมีกำไร 9 เดือนแรก 337.1 ล้านบาท หรือ มีกำไรโตขึ้น 34.2%
"ผลประกอบการไตรมาส 3 เปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ภาพรวมลดลง เนื่องจากตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปี 2563 นี้ ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงลูกค้าบางส่วนของ TK ซึ่งสถานการณ์รุนแรงจนเป็นวิกฤตของโลกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2562 ที่ขยายตัวเพียง 2.4% อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบผลประกอบการไตรมาส 3/2563 กับไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา พบกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 107% เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้นในองค์กร รวมทั้งการบริหารจัดการแหล่งต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลาที่ไม่เอื้อต่อการขยายพอร์ตลูกค้า ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการแหล่งต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ TK มีทรัพยากรพร้อมขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทันทีที่ตลาดปรับตัวหรือเมื่อมีโอกาส" นางสาวปฐมา กล่าว
ทางด้าน นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวเสริมว่า ในสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย TK หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าในพอร์ต นอกจากการควบคุมค่าใช้จ่ายและการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายรวมใน ไตรมาส 3/2563 ลดลง 35.6% จาก 737.2 ล้านบาท เป็น 474.9 ล้านบาท ทั้งยังคงควบคุมต้นทุนทางการเงินตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ โดยในไตรมาส 3/2563 มีต้นทุนทางการเงินจำนวน 15.6 ล้านบาท ลดลง 49.5% จาก 30.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากมีการใช้วงเงินกู้ลดลงเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ประกอบกับมีการบริหารจัดการแหล่งต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 นี้ หลังจากชำระหุ้นกู้จำนวน 800 ล้านบาทแล้ว บริษัทฯ มีสถานะเงินสดอยู่ที่ระดับประมาณ 1,520 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามีความพร้อมที่สามารถชำระค่าหุ้นในการซื้อกิจการ MFIL ในประเทศเมียนมา อีกทั้ง D/E ratio ณ สิ้น ไตรมาส 3 อยู่ที่ 0.39 เท่า ลดลงจาก 0.73 เท่า จากปี 2562
"แม้ว่าผลประกอบการในประเทศจะหดตัว แต่ผลประกอบการในต่างประเทศของ TK ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 24% ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2563 โดยมาจากกัมพูชาเป็นตลาดหลัก 20% และคาดว่าสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% ภายในสิ้นปี 2563 นอกจากนี้ TK ยังคงมองหาโอกาสที่จะขยายตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยพร้อมเข้าลงทุนทันทีที่เห็นช่องทางและโอกาสที่เหมาะสมตามกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ตั้งเป้าหมายไว้" นายประพล กล่าวทิ้งท้าย