บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์' หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ โชว์ผลงานไตรมาส 3/63 มีรายได้จากการขาย 378.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 48.1 ล้านบาท ดันผลงาน 9 เดือนแรก มีรายได้จากการขายรวม 971 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 89.2 ล้านบาท หลังออเดอร์ล้นถึงกลางปีหน้า เผยหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้บริษัทฯ เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการติดต่อจากบริษัทสตาร์ทอัพทั้งในและต่างประเทศ จ้างผลิตอาหาร Plant Based Food คาดรายได้ทั้งปีเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15-20% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 1,119.7 ล้านบาท
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 มีรายได้จากการขาย 378.5 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 307.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 48.1 ล้านบาท เติบโต 183% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 17.0 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้จากการขาย 971 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 820.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 89.2 ล้านบาท เติบโต 168% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 33.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลเติบโตตามยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากกลุ่ม Ethnic Food ทั้งผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM / Private Label) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ และกลุ่ม Plant-Based Food ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงกลางปี 2564 รวมถึงผลิตภัณฑ์ Functional Products (V-shapes) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งลูกค้าให้ความต้องการเป็นอย่างมาก หลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับ การส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกตลาด ทั้งอเมริกา ยุโรป โอเชียเนีย และเอเชีย รวมถึงบริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและการดำเนินการที่ดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยหลังจากการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้ NRF เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการยอมรับในแวดวงธุรกิจอาหาร โดยได้รับการติดต่อจากบริษัทสตาร์ทอัพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อจะจ้างผลิตสินค้านวัตกรรมอาหาร ในกลุ่มอาหารโปรตีนจากพืช (Plant Based Food) ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมทางด้านบุคลากร ทีมวิจัยและพัฒนา วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และมีฐานการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งสามารถตอบสนองการผลิตได้ ทำให้มีข้อได้เปรียบในการผลิตอาหารนวัตกรรมใหม่ๆออกมา
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มขยายตลาดในประเทศมากขึ้น โดยได้จัดงานเทศกาล Root The Future Festival: Plant-Based & Sustainability ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และร่วมออกบูธในงานเทศกาลอาหารเจที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง พร้อมนำผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช มาเปิดตัวที่ประเทศไทย จำนวน 2 แบรนด์ คือ แบรนด์ Phuture Meat และแบรนด์ The Meatless Farm ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อีกทั้งบริษัทฯ ขยายตลาดเข้าสู่ห้องอาหารในโรงแรมระดับ 5 ดาว โดยเริ่มที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เป็นที่แรก ซึ่งทุกห้องอาหารภายในโรงแรมจะมีเมนูอาหาร Plant-Based Food เข้ามาให้บริการ พร้อมกันนี้ NRF มีแผนที่จะขยายไปยังกลุ่มโรงแรม 5 ดาว และร้านอาหารชื่อดัง ในกรุงเทพฯ รวมถึงเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากในประเทศให้เป็น 3-5% จากปัจจุบันที่ NRF ส่งออก 100%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเป้าหมายรายได้ปี 2563 คาดว่ารายได้เติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15-20% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 1,119.7 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อสินค้าที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับ จะรับรู้รายได้จากบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด จากการเข้าถือหุ้นส่วนที่เหลืออีก 85% จากก่อนหน้าที่ได้เข้าลงทุนในสัดส่วน 15% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม Ethnic Food และเป็นฐานการผลิตภายในประเทศ โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม และจังหวัดราชบุรี ทั้งนี้ ซิตี้ฟู้ด ถือเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออก เครื่องปรุงรสภายใต้ตราสินค้า "คลาสสิคไทย" และน้ำนมถั่วเหลืองตรา "ชินโป" รวมถึงการรับจ้างผลิตอาหารชนิดต่าง ๆ ให้กับแบรนด์อาหารระดับโลกอีกด้วย อีกทั้งได้เริ่มเดินเครื่องผลิตหลังลงทุนในเครื่องจักรผลิตเส้นบุกเครื่องที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 2,700 ตันต่อปี ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในอนาคต
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิต จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 3,400 ตัน ให้เป็น 36,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า ภายในปี 2564 รองรับการเติบโตจากความต้องการของลูกค้า และมีแผนการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคต ผ่านการร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ 'เบรคส์' ที่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อรับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทอาหารชั้นนำของโลก โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ Plant-based ประมาณ 30-40% ภายในปี 2567 จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ 6.4%
ล่าสุด NRF ได้เริ่มลงทุนใน E-Commerce Platform ผ่านการร่วมลงทุนกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) ใน 2 รูปแบบ คือ ลงทุนในกลุ่มบริษัท Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ e-commerce ของ Third-party seller บน Amazon e-commerce platform ซึ่งทำให้ NRF เริ่มมียอดขายจากออนไลน์เพิ่มขึ้นและตั้งเป้าหมายมีสัดส่วนยอดขายจากธุรกิจออนไลน์ 30% ของยอดขายทั้งหมดในช่วง 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกต่อตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น หลังจากมีความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคถึง 90% ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ภาคธุรกิจรวมถึงการดำเนินชีวิตตามปกติของประชาชน ทำให้กำลังซื้อและความต้องการบริโภคอาหารรวมถึงสินค้าอื่นๆ กลับมาเข้าสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโรคระบาด อีกทั้งยังส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ประกอบการซอส เครื่องปรุงรส มากขึ้น เนื่องจากร้านอาหารเตรียมกลับมาเปิดได้ตามปกติ ทำให้มีคำสั่งซื้อที่สูงขึ้นมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อ NRF โดยตรงในการเพิ่มโอกาสจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำได้ดีมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช เนื่องจากกลุ่มร้านอาหารมีสัดส่วนการซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ราว 20-30% ทำให้ NRF ได้รับประโยชน์มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมพร้อมรองรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มกำลังการผลิต ในกลุ่ม ซอส เครื่องปรุงรสที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศส่งออกหลักอย่าง สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น