LPH อวดงบไตรมาส 3/63 โกยกำไร 51.27 ล้านบาท เติบโต 98.56% มีรายได้รวม 486.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.49% หนุนผลงาน 9 เดือน กำไรทะยาน 89 ล้านบาท โต 12.66% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการเพิ่มและประกันสังคมเพิ่มค่าหัว หนุนรายได้-กำไรเด่น และรายได้จากบริษัทลูก AMARC โตต่อเนื่อง มั่นใจแนวโน้มผลประกอบการโค้งสุดท้ายของปีเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน หนุนงบปี 2563 โตตามแผน ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% พร้อมเผยความคืบหน้านำบริษัทลูก AMARC เข้าตลาดปี 64 ส่วนแผนการลงทุนสร้างโรงพยาบาลเอเชียอินเตอร์ฯ อยุธยา คาดเปิดในปี 2565 พร้อมเดินหน้าแผนลงทุนต่อเนื่อง
ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2563 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวมส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 51.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98.56% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 25.82 ล้านบาท
โดยมีรายได้รวม 486.41 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.49% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้การรักษาพยาบาลจำนวน 412.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.41% โดยปัจจัยหลักมาจากรายรับค่าบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น จากการที่สำนักงานประกันสังคมปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ ในปี 2563 ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม และจากผู้ใช้บริการทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการคลายความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้บริการของบริษัทย่อย ซึ่งในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 26.51% และงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้น 20.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้ 87.99% จากธุรกิจศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย (AMARC) และจากธุรกิจบริการตรวจสุขภาพ 12.01% ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการที่จำเป็นเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 1,303.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.67% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.66% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 79 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มผลงานในช่วงไตรมาส 4/2563 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล จะมีผู้เข้าใช้บริการในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ขยายพื้นที่เปิดให้บริการครบ 10 ศูนย์ฯแล้ว ส่งผลให้รายได้จากการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น
"ในปี 2563 นี้ คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 15-20% โดยในส่วนรายได้ประกันสังคมเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากการได้รับจัดสรรโควต้าเพิ่มขึ้น 10,000 คน และคนไข้ทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เป็นสำคัญ ส่วนรายได้จากคนไข้ต่างชาติยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้ส่วนนี้หายไป " ดร.อังกูร กล่าว
สำหรับแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในเครือ คือ บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (AMARC) โดยงบปี 2563 จะมีกำไรสูงสุด จากงานที่เราสามารถรับได้ และยังมีงานเกษตรอาหารในส่วนมาตรฐานที่เราขออยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่มีผลกระทบต่อ AMARC เรายังคงเดินหน้าตามแผน หลังจากที่มีการแต่งตัวและมีความพร้อมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุดอยู่ระหว่างการร่างสัญญาแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน โดยวางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 เพื่อต้องการขยายศักยภาพ เนื่องจากเทรนด์ด้านเกษตรอาหาร Food Safety เป็นเทรนด์ในการขยายธุรกิจ ขณะนี้มีพันธมิตรต่างชาติระดับโลกเข้ามาเจรจาขอร่วมทุนด้วย หากมีการตกลงข้อเสนอกันได้ เป็นโอกาสของ AMARC ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และ AMARC วางเป้าหมายจะเป็น "Excellence Lab" ซึ่งหาก AMARC ได้เข้าตลาดก็จะสนับสนุนให้ LPH เติบโตได้อย่างมั่นคง และเป็นบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนความคืบหน้าแผนการลงทุนในช่วงปี 2564-2565 ได้แก่ การปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้าและด้านหลังโรงพยาบาล อาคาร 1 และอาคาร 2 เพื่อรองรับการสร้างสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาล ให้มีความสวยงามและทันสมัยมากขึ้น งบลงทุนโดยประมาณ 15-20 ล้านบาท
อาคารจอดรถอัจฉริยะ ก่อสร้างอาคารจอดรถอัจฉริยะขนาด 250 คัน ใช้งบลงทุนโดยประมาณ 110 ล้านบาท คาดจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 และแผนการเปิดให้บริการโรงพยาบาลตา ลาดพร้าว เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ขนาด 6,400 ตารางเมตร งบลงทุนโดยประมาณ 200 ล้านบาท ให้บริการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคตาแบบครบวงจร คาดจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564
อาคารโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์เฉพาะทางลาดพร้าว แห่งที่ 2 เป็นอาคารโรงพยาบาลขนาดประมาณ 40 เตียง ขนาด 7,400 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์โรคหัวใจครบวงจร ตับ ไต ศูนย์มะเร็ง และห้องผ่าตัดที่ทันสมัยสุด เป็นต้น
ส่วนการเข้าลงทุนโรงพยาบาลเอกชน ในจังหวัดอยุธยา 2 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาลดำเนินการเกี่ยวกับตรวจสุขภาพพนักงานโรงงาน คือ โรงพยาบาล เอเชีย ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% และอีกหนึ่งแห่งคือโรงพยาบาลเอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 100 เตียง เพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยทั่วไป บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่และรองรับผู้ป่วยสิทธิประกันสังคมขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างขนาด 59 เตียง คาดจะเปิดให้บริการช่วงกลางปี 2564 หลังจากนั้นจะขอ EIA สร้างเพิ่มอีก 41 เตียง โดยให้โรงพยาบาลลาดพร้าว เข้าไปร่วมลงทุน โดยเจ้าของโครงการมีแผนที่จะนำโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากดำเนินการผ่านไปแล้ว 3 ปี โดยคาดว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่มีผลกำไรตั้งแต่เปิดดำเนินการปีแรก