- ถึงแม้จะมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ยังสามารถระดมทุนหุ้นไอพีโอได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
- ปี 2563 ประเทศไทยเป็นดาวเด่น ด้วยมูลค่าหุ้นไอพีโอรวม 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าหุ้นไอพีโอของอีกห้าประเทศในเซาท์อีสท์เอเชียรวมกัน
- บริษัท deep-tech แรกของสิงคโปร์ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ สามารถระดมทุนได้มากกว่าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) ทั้งสองทรัสต์ที่เพิ่งระดมทุนไปในปี 2563 ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจเป็นที่ต้องการของนักลงทุน
ดีลอยท์ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดซึ่งชี้ให้เห็นว่าตลาดทุนในภูมิภาคเซาท์อีสท์เอเชียยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติและความไม่แน่นอนมากมายในปี 2563 นับตั้งแต่วิกฤตการณ์การระบาดของโควิด-19 ความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงผลกระทบจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลให้ภาพรวมระยะเวลา 10 เดือนครึ่งของ ปี 2563 หุ้นไอพีโอของบริษัทในภูมิภาคจำนวน 100 บริษัท ที่มีการเสนอขายต่อสาธารณะ สามารถระดมทุนได้เป็นมูลค่ารวม 6.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าจำนวนไอพีโอรวมจะลดลงร้อยละ 38 จาก 161 บริษัท ในปี 2562 และ มูลรวมหุ้นรวมลดลงร้อยละ 12 จาก 7.34 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่มูลค่ารวมของตลาดไอพีโอกลับสูงขึ้นร้อยละ 3 หรือเท่ากับ 25.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 นับเป็นข่าวดีที่ตลาดทุนในเซาท์อีสท์เอเชียยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน
ประเทศไทยยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำที่สามารถระดมทุนได้สูงสุดในตลาดเซาท์อีสท์เอเชียเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดย บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ของประเทศไทย อยู่ในตำแหน่งที่หนึ่งและสองในกระดานผู้นำหุ้นไอพีโอของภูมิภาคเซาท์อีสท์เอเชีย สามารถระดมทุนได้เป็นจำนวนเงินรวม 1.77 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.27 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ มูลค่ากว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าหุ้นไอพีโอรวมทั้งหมดที่สามารถระดมทุนได้ในตลาดเซาท์อีสท์เอเชีย และจากการเติบโตต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ค่าเงินที่มีความแข็งแกร่ง อัตราดอกเบี้ยต่ำ และสภาพคล่องของเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้ไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสามารถระดมทุนได้มีมูลค่าสูงถึง 3.94 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ถือเป็น 61% ของทุนที่ระดมได้ในปี 2563 ทำให้ประเทศไทยเป็นดาวเด่นของภูมิภาค นับเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่ประเทศไทยสามารถระดมทุนจากไอพีโอที่เข้าตลาด ได้สูงกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีมูลค่าการระดมทุนทะลุ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นางวิลาสินี กฤษณามระ Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า "ตลาดไอพีโอของประเทศไทยมีศักยภาพและแข็งแกร่งมากที่สุดตลาดหนึ่งในภูมิภาคเซาท์อีสท์เอเชีย เป็นผลจากความสามารถของบริษัทของไทยเอง และได้แรงสนับสนุนจากนักลงทุนที่มีความสนใจในธุรกิจด้านอุปโภคบริโภค ทำให้ตลาดไอพีโอในประเทศไทยยังคงดึงดูดนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนได้"
ด้านตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซาของมาเลเซีย กลุ่ม Mr D.I.Y. Group (M) Berhad สามารถระดมทุนได้ 326 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในการเข้าตลาดสูงสุดในสามปี ในขณะที่บริษัทเข้าตลาดใหม่มีจำนวนลดลงเหลือเพียง 18 บริษัทในปีนี้ เทียบกับ 30 บริษัท ในปีก่อน โดยในปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย สามารถระดมทุนได้มีมูลค่ารวม 481 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีมูลค่า 447 ล้านเหรียญสหรัฐ
มร. หว่อง คา ชุน Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ มาเลเซีย กล่าวว่า "ตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นจากประมาณร้อยละ 86% และ 208% ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2563 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ปริมาณการซื้อยังคงมีมูลค่าสูง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในหุ้นที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยี และ เฮลท์แคร์"
AREIT, Inc ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ REIT (Real Estate Investment Trust) บริษัทแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ ด้วยมูลค่าหุ้นไอพีโอ 255 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนสิงหาคม 2563 คิดเป็นร้อยละ 31 ของการระดมทุนหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ของฟิลิปปินส์ นอกเหนือจากบริษัท Converge Information and Communications Technology Solutions Inc, ที่สามารถระดมทุนได้ 523 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 65 ของทุนหุ้นไอพีโอในตลาด
ในปี 2563 มีบริษัท ไอพีโอ จำนวน 46 บริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย เป็นถือเป็นจำนวนไอพีโอที่มากที่สุด ในเซาท์อีทส์เอเชียในปีนี้ เป็นผลจากการที่บริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลาง จำนวนมากที่เข้าตลาด หลังจากที่มีการผ่อนคลายกฎระเบียบในการเข้าตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ในปี 2560
ทางด้านของสิงค์โปร์ Nanofilm Technologies International Limited (Nanofilm Technologies) บริษัทสัญชาติสิงค์โปร์ ระดมทุนได้ 345 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่ามากที่สุดในกระดานหลักซึ่งโดยปกติบริษัทที่ครองกระดานในระยะหลังจะเป็น REITs ที่จดทะเบียนในตลาด
ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ สามารถระดมทุนหุ้นไอพีโอได้ 852 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก จำนวน ไอพีโอที่เข้าตลาดทั้งหมด 8 บริษัท ซึ่งนอกจาก Nanofilm Technologies ก็ยังรวมถึง ไอพีโอ REIT อีก 2 บริษัทในกระดานหลักที่สามารถระดมทุนได้ถึง 479 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 5 บริษัทที่ทำการซื้อขายบนกระดาน Catalist ที่สามารถระดมทุนได้ 29 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ 2.26 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากจำนวน 11 ไอพีโอ ในปีที่แล้ว
มิส เท ฮวี ลิง Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ เซาท์อีสท์ เอเชีย และสิงค์โปร์ พูดถึง ผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อตลาดทุนว่า " ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ บริษัทยังสามารถเติบโตได้โดยการปรับโมเดลธุรกิจ ธุรกิจเฮลธ์แคร์ได้ผลกระทบในแง่บวกจากวิกฤติโควิด-19 นักลงทุนเองก็มีการตอบรับกับตลาดและมีการปรับตัวสำหรับ next normal เราเห็นปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ เทคโนโลยีมีส่วนช่วยอย่างมาก และการทำไอพีโอโรดโชว์แบบเวอร์ชวล ก็ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงนักลุงทุนได้มากยิ่งขึ้น"
สำหรับบางประเทศ REITs ยังคงดึงดูดนักลงทุนได้ดี เนื่องจากมีความผันผวนต่ำ อัตราเงินปันผลสูงและสามารถเข้าถึงอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง สถานพยาบาล รวมถึงสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับ e-commerce หรือ ดิจิทัลได้ REITs ในเซาท์อีสท์ เอเชีย ยังมีโอกาสสูงในการเติบโต จากแนวโนมการเติบโตของประชากรและสังคมเมืองในภูมิภาคนี้
มิส เท ฮวี ลิง Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ เซาท์อีสท์ เอเชีย และสิงค์โปร์ เชื่อว่าปี 2564 เซาท์อีทส์ เอเชียก็จะยังคงเติบโตต่อไป และตลาดจะกลับตัวเป็นขาขึ้นทันทีที่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ปลอดภัยและได้ผล "โควิดทำให้บริษัทต่างๆ ต้องทบทวนวิธีการดำเนินธุรกิจและการคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจ อีกทั้งยังต้องมองหาโอกาสในการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์เพื่อสร้างความเติบโตของธุรกิจ เพื่อคงความสามารถแข่งขันต่อไปได้ในสถานการณ์อันท้าทายนี้ ถึงโควิดจะยังไม่จบและเราต้องอยู่ในภาวะนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ตลาดเซาท์อีสท์ เอเชียก็ยังคงมีความหลากหลายและน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน"
หมายเหตุ : ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ไม่รวมข้อมูล ไอพีโอ ในช่วง 16 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2563