บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 จากการใช้งานที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อรักษาสุขอนามัย เร่งเดินหน้าวิจัยพัฒนาสินค้านวัตกรรม 'ถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน' ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังเพื่อขยายตลาดเซกเมนต์ใหม่ทดแทนการใช้ถุงมือไนไตรล์ เผยยังเดินเครื่องจักรเต็มที่และมีระยะเวลาส่งมอบสินค้า 16-30 เดือน พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายกำลังผลิตตามแผน
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า มีความมั่นใจว่าบริษัทฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ในอนาคตจะมีการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงมือยางน่าจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาของการฉีดวัคซีน และในระยะยาวความต้องการใช้ถุงมือยังแข็งแกร่งและสดใสจากการเติบโตของความต้องการใช้ถุงมือในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลายไม่เฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเพื่อสุขอนามัยที่ดีในยุค New Normal ที่คนทั่วโลกใส่ใจการรักษาความสะอาดยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน STGT ไม่ได้หยุดนิ่งในการหาโอกาสขยายตลาดและเพิ่มยอดขายสินค้า ล่าสุดได้ทุ่มงบเร่งวิจัยและพัฒนา (R&D) 'ถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน' ซึ่งผลิตจากสูตรน้ำยางธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ผ่านการคิดค้นและทดลองจนสามารถป้องกันไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้ ซึ่งจะเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเพื่อเจาะตลาดเซกเมนต์ใหม่ โดยมีเป้าหมายผลิตเพื่อจำหน่ายได้ในช่วงกลางปี 2564
คาดว่าสินค้าดังกล่าวจะเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมถุงมือยาง ให้เกิดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นทดแทนการใช้ถุงมือยางไนไตรล์ จากปัจจุบันที่ภาพรวมทั่วโลกมีความต้องการการใช้ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ (ถุงมือยางสังเคราะห์) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การใช้งานสำหรับผู้ที่แพ้สารโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะใช้วัตถุดิบจากน้ำยางธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าถุงมือยางไนไตรล์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวต่อว่า แม้ในปัจจุบันมีความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกัน COVID-19 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตตามแผนงานที่วางไว้ โดยไม่มีการชะลอหรือปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนแต่อย่างใด และถึงปัจจุบันยังไม่มีลูกค้ารายใดยกเลิกหรือชะลอการรับสินค้า รวมถึงได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะเวลาการส่งมอบสินค้ายังคงอยู่ที่ 16 - 30 เดือน
"เรามั่นใจว่าถุงมือยางยังเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ปัจจุบัน STGT ยังเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต และเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนงานเดิม ดังนั้น จากดีมานด์ที่มีอย่างต่อเนื่องจึงมั่นใจว่าราคาขายเฉลี่ยยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อเป้าหมายการเติบโตของบริษัทฯ" นางสาวจริญญา กล่าว
นางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT กล่าวว่า จากภาพรวมคำสั่งซื้อสินค้าที่แข็งแกร่งและราคาขายที่ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 16,759.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนในปี 2564 บริษัทฯ วางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้มีการพัฒนาวัคซีนสำเร็จ เชื่อว่าภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกยังมีอัตราเติบโตอย่างน้อย 12% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ประกอบกับ STGT อยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต โดยในปีหน้าจะมีโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 4 แห่ง จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 35,900 ล้านชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 32,600 ล้านชิ้นต่อปี
"ในปีหน้าบริษัทฯ จะเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ใช้งบลงทุนรวมกว่า 9,900 ล้านบาท โดยในปี 2567 วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นกว่า 82,550 ล้านชิ้น และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า" นางสาวธนวรรณ กล่าว