เมื่อชีวิตไม่ได้เพียบพร้อมและหนทางที่ไขว่คว้ามีแต่อุปสรรค จึงมีสองทางให้ก้าวเดิน คือเลือกที่จะสู้ต่อด้วยความหวังจนพบกับแสงสว่าง หรือก้มหัวรับชะตาด้วยความสิ้นหวัง หากเลือกทางเดินที่สอง จุฬาฯ คงไม่มีนิสิตที่น่าภาคภูมิใจที่ชื่อณรงค์ชัย แสงอัคคี เช่นวันนี้
ณรงค์ชัย แสงอัคคี หรือ บิ๊ก นิสิตชั้นปีที่ 2 เอกวิชาภาษาไทย สาขามัธยมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลพระราชทาน "ลูกที่มีความกตัญญูต่อแม่" ประจำปี 2563 และรางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2562 นอกจากนี้เขายังมีความสามารถทางการใช้ภาษาไทย โดยได้รับรางวัลจากการประกวดในเวทีต่างๆ มาแล้วมากมาย เช่น รางวัลหนังสือดีเด่นแห่งชาติ เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด ประเภทกวีนิพนธ์ ล่าสุดได้รับรางวัลระดับนานาชาติ จากผลงานรวมบทกวีเรื่อง "ใน (นัย) โลกใบน้อย" รางวัลยอดเยี่ยมโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย Young Artist Award 2020 ประเภทวรรณกรรม (กวีนิพนธ์) แต่กว่าจะพบความสำเร็จในวันนี้ เขาต้องผ่านบททดสอบหลายด้านโดยมีแม่ของเขาเป็นต้นแบบ
บิ๊กเล่าให้ฟังถึงชีวิตในวัยเยาว์ว่า พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ครอบครัวของบิ๊กมีฐานะไม่ดีนัก แม่เป็นเสาหลักที่ต้องทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว ต่อมาเมื่อแม่ของเขาล้มป่วยลง บิ๊กจึงทำหน้าที่ดูแลแม่ตั้งแต่อายุ 8 ปี ซึ่งชีวิตในช่วงนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก แล้วแสงสว่างเล็กๆ ที่ทำให้เส้นทางชีวิตอันมืดมนเริ่มมีหนทางก็เกิดขึ้นที่โรงเรียน
"ตอนนั้นผมต้องเอาปิ่นโตไปที่โรงเรียนเพื่อนำอาหารกลับมาให้แม่ทานแล้วกลับไปเรียนต่อเป็นประจำ รวมทั้งเคยเคาะประตูบ้านของเพื่อนในสลัมเพื่อขอเงินไปเรียน พอโตขึ้นผมได้พบคุณครูที่ดีในทุกช่วงเวลาของชีวิต ช่วยให้ผมได้เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา คุณครูอบรมสั่งสอนผมในทุกมิติของชีวิต เปลี่ยนจากเด็กที่ไม่มีจุดหมายมาเป็นผู้ที่มีหลักยึดในการสร้างอนาคตที่งดงาม" บิ๊กเผยถึงช่วงชีวิตที่ยากลำบากในเวลานั้น
ความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ ทำให้บิ๊กรู้สึกภาคภูมิใจที่ตัวเองสามารถดูแลผู้ที่ให้กำเนิดได้ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และรับรู้ความรักที่มีต่อกัน บิ๊กได้แนวคิดในการใช้ชีวิตจากแม่อย่างสมบูรณ์ "แม่จะทำให้ผมมีมุมมองที่ดี ในวันที่เราไม่มีอะไรและลำบาก แม่จะบอกผมเสมอว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าเรา สิ่งที่แม่ให้ได้ก็คือร่างกายที่สามารถเดินได้ เขียนอ่านได้และมีอวัยวะสมบูรณ์เหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่จะต้องไขว่คว้าและตามหาด้วยตนเองคือความฝันและการศึกษา"
จากชีวิตที่เคยหลงทาง บทเรียนชีวิตที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้คือ การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ปัญหาทั้งหมดเป็นเครื่องเตือนใจว่าเราไม่ควรให้ใครมาลดคุณค่าของชีวิต เราจะต้องประพฤติดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และไม่หยุดพัฒนาตนเอง
"สมัยก่อนผมไม่มีความอดทน อะไรมากระทบก็ร้องไห้ตลอด สิ่งที่ทำให้ผมอดทนและรักดีได้ก็คือแม่ของผม ทุกวันนี้ผมยังทำหน้าที่และดูแลแม่เหมือนเดิม นอกจากนี้ในแต่ละช่วงชีวิตของเขายังมี "ครู" เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป้าหมายในการเป็นนิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ คือความฝันอยากเป็น "ครู" เหมือนเช่นครูในชั้นมัธยมที่อบรมสอนสั่งมา
"ผมเคยมีฐานะที่ยากจนและเกเรมาก่อน คุณครูเป็นผู้ขัดเกลาและดึงศักยภาพที่อยู่ในตัวผม ทำให้ผมรู้คุณค่าในตนเอง เพื่อที่จะสามารถยืนอยู่ในสังคมได้โดยไม่เป็นภาระของสังคม ผมจึงอยากเป็นเหมือนครูเพื่อสอนนักเรียนที่อาจจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม ให้ได้มีโอกาสอย่างที่ผมได้รับมา"
สุดท้าย บิ๊กฝากถึงทุกคนที่เจอสถานการณ์อันยากลำบากว่า "คนเราหลายคนมักจะมองปัญหาเหมือนลูกโป่งใบใหญ่ที่กำลังบังความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แค่ขยับปลายเท้า เปลี่ยนองศาการมองปัญหาตรงหน้า เราก็จะเห็นมุมมองที่กว้างกว่าและได้เห็นความสุขเบื้องหน้า ถ้าเราเข้าใจตนเอง ไม่ว่าปัญหาจะหนักแค่ไหนเราก็สามารถบอกตนเองเสมอว่าเราจะก้าวผ่านมันไปให้ได้"