กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF โชว์ศักยภาพการดำเนินงานสร้างความมั่นคงด้านกระแสเงินสดที่ดี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.2540 บาทต่อหน่วย หลังเงินรับตามสัญญาโอนผลประโยชน์จากการเข้าลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลของ KPP ในไตรมาส 4/2563 เป็นไปตามประมาณการที่เสนอขายต่อนักลงทุน ขณะที่ผลการดำเนินงานปี64 เชื่อว่าทำได้ตามแผน และสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน KBSPIF เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ในไตรมาส 4/2563 สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีกว่าข้อตกลงรับประกันผลประกอบกิจการไฟฟ้าขั้นต่ำที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน จากคุณภาพของสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลของบริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด หรือ KPP รวม 25.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นคู่สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ และบมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) อีก 3.5 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุนของบริษัทจัดการฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.2540 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินประมาณ 71.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยตามสัดส่วน (prorate) เมื่อเทียบกับราคาเสนอขายหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.10% ต่อปี โดยมีกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 17 มีนาคม 2564
"ด้วยจุดเด่นของกองทุน KBSPIF ที่มีการแบ่งกระแสรายได้ จากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวที่ KPP จำหน่ายให้แก่ กฟผ. และ KBS ทำให้กระแสเงินสดมีความมั่นคง โดยกองทุนรับเงินตามสัญญาโอนผลประโยชน์จากการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลและมีกำไรสุทธิเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น กองทุน KBSPIF จึงมีกำหนดจ่ายเงินปันผลรอบการดำเนินงานในไตรมาส 4/2563 ในอัตรา 0.2540 บาทต่อหน่วยให้แก่ผู้ถือหน่วยทุกคน และหากนับตั้งแต่ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนจนถึงสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กองทุน KBSPIF ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 0.499 บาทต่อหน่วย" นางชวินดา กล่าว
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานกองทุน KBSPIF ในปี 2564 เชื่อมั่นว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการสร้างกระแสเงินสดจากการแบ่งกระแสรายได้จากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาว อีกทั้งกองทุน KBSPIF ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงไฟฟ้า รวมถึงการปิดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ไว้ในหนังสือชี้ชวน