SABINA ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 สร้างนิวไฮที่ระดับ 3,400 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 คิดเป็น 15% หลังประกาศงบการเงินปี 2563 กวาดรายได้รวม 2.9 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 11.6% แต่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทันท่วงที กับการบุกทำตลาดออนไลน์ทดแทนรายได้จากช่องทางค้าปลีก ส่งผลให้รายได้ช่องทาง NSR เติบโตได้ถึง 65% พร้อมเดินหน้าผลักดันให้โตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีนี้ขายออนไลน์โตเพิ่มอีก 20% ส่วนรายได้ส่งออกโต 50% รับเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง เผยกลยุทธ์หลักปีนี้ เร่งคุมต้นทุน นำเสนอสินค้าที่ผู้บริโภคเข้าถึงง่าย มุ่งรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในกรอบ 47-50% พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลปี 63 หุ้นละ 0.80 บาท
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2564 ไว้ที่ 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยคาดว่า ในปีนี้ SABINA จะมีรายได้ราว 3,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าในปี 2562 ที่บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวมไว้ที่ 3,295 ล้านบาท ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 ปรับตัวลดลง โดยรายได้รวมอยู่ที่ 2,913.8 ล้านบาท ลดลง 11.6% กำไรสุทธิ 276.8 ล้านบาท ลดลง 33.0% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 47.4% ลดลง 23.1%
"ถึงแม้ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 จะลดลงเมื่อเทียบปี 2562 แต่ถือว่าลดลงน้อยกว่าที่คาด เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้และกำไรสุทธิของเราลดลง มาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปี 2563 ทำให้ยอดขายช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งเป็นช่องทางหลัก ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างทั่วประเทศ ก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในช่วงปลายปี และมีการปิดห้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน เราพยายามลดต้นทุน และหันมาปรับไลน์การผลิตหน้ากากผ้าในการแพร่ระบาดระลอกแรก ทำให้เรายังคงรักษาผลการดำเนินงานที่เป็นกำไรสุทธิไว้ได้ แม้ว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาก็ตาม" นายบุญชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2563 ที่ผ่านมา รายได้จากการช่องค้าปลีก (Retail) ลดลงจากปีก่อน 22.3% ขณะที่ช่องทางออนไลน์ (Non Store Retailing : NSR) เพิ่มขึ้น 65.2% รายได้จากการส่งออกชุดชั้นในแบรนด์ "ซาบีน่า" (Export) ในกลุ่มประเทศ CLMV ลดลง 7.9% และรายได้จากการรับผลิตให้กับลูกค้าในยุโรป (OEM) ลดลง 7.5% อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้แต่ละช่องทางขายต่อรายได้รวม จะพบว่า ช่องทางขายออนไลน์ (NSR) นอกจากรายได้จะเติบโตขึ้นอย่างมากแล้ว
ยังมีสัดส่วนรายได้ต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 10% เพิ่มเป็น 19% ขณะที่สัดส่วนรายได้ช่องทางค้าปลีกลดลงจาก 79% เหลือ 69% รายได้ส่งออก เพิ่มขึ้นจาก 2% เพิ่มเป็น 3% และสัดส่วนรายได้ OEM อยู่ที่ 9% เท่าเดิม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวด้วยว่า เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างสัดส่วนรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรายได้ NSR มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับรายได้ยอดขายในช่องทางนี้ที่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 65% สะท้อนให้เห็นว่า การปรับกลยุทธ์ของ SABINA มีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มศักยภาพในช่องทางที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท แต่เนื่องจากได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ดังนั้นบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 0.45 บาทโดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564
สำหรับปี 2564 บริษัทฯ ยังคงรุกตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี SABINA ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อกระชับพื้นที่ขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารงานขายได้คล่องตัวและรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน SABINA จะยังคงนำเสนอสินค้าในระดับราคาที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่าย หลังจากโควิด-19 ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในช่องทาง NSR ไว้ที่ 20% ส่วนช่องทางค้าปลีกตั้งเป้าเติบโต 15% รายได้จาก OEM เติบโต 15% และรายได้จากการส่งออก แบรนด์ SABINA ในกลุ่มประเทศ CLMV คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 50% จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม รวมทั้งยังมียอดขายจากฟิลิปปินส์เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ
"เป้าหมายการเติบโตในปีนี้จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจากความคืบหน้าในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยไม่เกิดการระบาดรอบใหม่หรือเกิดการกลายพันธุ์ และมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของรัฐในการกระตุ้นการอุปโภคบริโภค ปัจจัยการเมืองไม่ได้ร้อนแรง รวมถึงเศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัวได้ตามเศรษฐกิจโลก และเรายังมีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ที่ 47-50% ด้วยการบริหารต้นทุนให้ต่ำลง ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าที่ SABINA ใช้ฐานการผลิตในต่างประเทศมีต้นทุนนำเข้าต่ำลง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาเติบโตได้ตามกรอบที่วางไว้ได้อีกครั้งในปีนี้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว