ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยถึงความสำคัญของ BCG Economy Model ที่นำไปสู่การประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในรูปแบบเดิม มีข้อสังเกตด้านปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประเทศไทยเน้นการพัฒนาโดยใช้ข้อได้เปรียบด้านทรัพยากร และแรงงานราคาถูก เพื่อผลิตสินค้าที่มีราคาไม่แพง แต่การพัฒนาในภาพรวมยังต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป อีกทั้งการกระจายรายได้ กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนที่มีฐานะ มีศักยภาพในการผลิตสูง เห็นได้จากกลุ่มผู้ส่งออก ที่ยังเป็นบริษัทรายใหญ่ หรือบริษัทต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ประเทศไทยต้องพิจารณาในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ที่ต้องอาศัยการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยยังคงติดอยู่ในกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางมาเป็นเวลาหลายปี โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี หากต้องการขยับขึ้นข้ามเส้นแบ่งของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางขึ้นสู่ประเทศรายได้สูง จะต้องมีรายได้อยู่ที่ 12,500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี การผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด จึงต้องอาศัยการนำกลไกขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ๆ มาใช้ รวมไปถึง BCG Economy Model ที่จะเข้ามาช่วยให้เกิดการสร้างรายได้ให้ประเทศ และกระจายรายได้เข้าสู่กลุ่มคนจำนวนมาก
BCG Economy Model แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- B ย่อมาจาก Bio Economy เป็นการสร้างการเติบโตโดยอาศัยฐานทรัพยากรของชาติด้านชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การท่องเที่ยว ครอบคลุมไปถึงการใช้วัฒนธรรมเป็นฐาน หรือวัฒนธรรมสร้างชีวิต
- C ย่อมาจาก Circular Economy เป็นความพยายามในการยืดอายุการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้ยาวนานที่สุด ซึ่งทำได้หลากหลายวิธี เช่น การรีไซเคิล, หรือการ sharing ใช้ยานพาหนะ ใช้รถยนต์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
- G ย่อมากจาก Green Economy เป็นการพัฒนาที่ดูความสมดุลระหว่างการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ กิจกรรมทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การผลิต หรือการบริการ ที่สมดุลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาจะมองเป็น 2 ส่วน คือยอดและฐานของพีระมิด ส่วนที่เป็นยอดพีระมิดเป็นกลุ่มคนที่จะใช้ความรู้ เทคโนโลยีขั้นสูงมาพัฒนาด้านการผลิตอย่างเข้มข้น ซึ่งมีคนทำได้ในจำนวนน้อย เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์สินค้าประเภทอาหารเชิงฟังก์ชั่น หรือ functional food เป็นอาหารที่กินเพื่อให้สุขภาพดี โดยผลิตให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ต้องเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง, นักกีฬา ต้องการโปรตีน ทำให้สินค้าเหล่านี้สามารถนำไปขายได้ในราคาสูงขึ้น
ส่วนฐานของพีระมิด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก จะใช้เทคโนโลยี หรือความรู้ในระดับที่ไม่สูงนัก แต่ต้องเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เป็นฐานสนับสนุนการผลิต เช่น การปลูกมะม่วง มีการนำเอาความรู้เข้าเรื่องธาตุอาหารในดิน การดูแลเรื่องความชื้น หรือการทำแพคเกจห่อหุ้มผลมะม่วงเพื่อรักษาผิวระหว่างออกผลเข้าไปช่วย ซึ่งมีราคาไม่สูง เกษตรกรสามารถจับต้องได้ จะช่วยทำให้สามารถขายสินค้าส่งออกได้ในราคาสูงและได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร
หากสามารถดำเนินการตามแนวทางของ BCG Economy Model ได้ จะก่อให้เกิดการพัฒนาในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถ้านำแนวคิดเรื่อง BCG มาใช้ จะทำให้คนตกงาน เริ่มหันกลับมาสนใจการทำงานในภาคการเกษตร ช่วยลดภาวะการว่างงาน และทำให้เกิดความก้าวหน้าด้านเกษตรอาหารของประเทศ
- ด้านความมั่นคงทางด้านอาหาร ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารในระดับที่ดี ในแง่ของการผลิต ไทยผลิตอาหารได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ผลิตอาหารประเภทส่วนเกิน คือ กลุ่มอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ำตาล ในจำนวนมาก ขณะที่อาหารประเภทโปรตีน กลับผลิตได้ไม่เพียงพอ จึงต้องพยายามปรับให้การผลิตอาหารประเภทส่วนเกินมาเป็นโปรตีน เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศ ด้วยการนำแนวทาง BCG เข้าไปช่วย และทำให้กลุ่มคนทุกระดับ ได้รับสารอาหาร และสามารถเข้าถึงอาหารได้ จะเกิดความมั่นคงทางด้านอาหารได้ในที่สุด
- ด้านพลังงาน ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเยอะมาก โดยการผลิตไฟฟ้ามีการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติถึง 60% และมีแนวโน้มว่าจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากในอนาคต BCG จะเข้ามาช่วยให้ไทยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน จากเดิมร้อยละ 16.5 ในปี 2562 เพิ่มเป็นร้อยละ 20
- ด้านสุขภาพ ในแต่ละปีประเทศไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มยา และเวชภัณฑ์ ในปัจจุบันทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมกำลังศึกษาเรื่องการผลิตยา เช่น ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน ยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง ยารักษาโรคมะเร็ง เพื่อลดการนำเข้ายาในอนาคต เช่นเดียวกับวัคซีนที่อยู่ในขั้นการทดลอง เพื่อนำมาใช้จริง
- ด้านความยั่งยืน เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ คาดหวังว่าเมื่อทำ BCG ได้แล้ว จะสามารถลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลงไป อีกทั้งยังสามารถลดมลพิษ เช่น PM 2.5 ขยะ น้ำเสีย การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดูแลสัตว์สูญพันธุ์
- ด้านการท่องเที่ยว ในรูปแบบเดิมอาจทำให้ธรรมชาติสึกหรอ แต่เมื่อมีการวางแผนการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการดูแลธรรมชาติ จะทำให้รูปแบบการท่องเที่ยวเกิดความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
เมื่อมองในภาพใหญ่ของประเทศ BCG เป็นส่วนแบ่งของ GDP ประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท หากดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ คาดว่าภายใน 5 ปี จะสามารถเพิ่มจำนวนส่วนแบ่ง GDP เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ 2 แสนล้านบาท และเพิ่มอัตราการจ้างงานจากเดิม 16.5 ล้านคน เป็น 20 ล้านคน เมื่อเกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก จะเกิดการกระจายรายได้สู่ภาคประชาชน และกลุ่มคนฐานะปานกลาง ไปจนถึงฐานะยากจนได้มากขึ้น นำไปสู่การสร้างความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ในระยะยาว