TNP หรือ บมจ.ธนพิริยะ ต้นแบบค้าปลีกท้องถิ่นของคนไทย โชว์ผลงานปี 63 กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นกว่า 51% หรืออยู่ที่ 133.86 ลบ. ส่วนรายได้ทะลุ 2 พันลบ. โตกว่า 12% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง รับกำลังซื้อในช่วงกักตุนสินค้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านบอร์ดไฟเขียว จ่ายปันผลในงวดครึ่งปีหลังอีก 0.04 บ./หุ้น กำหนดจ่าย 19 พฤษภาคมนี้ เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และสร้างความเชื่อมั่นในปี 64 พร้อมเดินหน้าเติบโตต่อ ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 5 สาขา วางเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 10%
นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เผยถึง ผลการดำเนินงานประจำปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 2,196.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 243.67 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.48 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากยอดขายของสาขาเดิมจำนวนร้อยละ 2.6 เป็นผลมาจากการซื้อสินค้าล่วงหน้าของผู้บริโภค เนื่องจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของยอดขายรวมจากการขยายสาขาใหม่ของบริษัทฯ ในปี 2563 จำนวน 4 สาขา สนับสนุนให้ ณ สิ้นปี 2563 มีจำนวน 32 สาขา
ขณะที่ กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 358.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 65.58 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 22.37 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 16.33 จากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 15.01 เป็นผลจากยอดขายผ่านสาขาโต และการได้รับค่าสนับสนุนการขายจากผู้จำหน่าย ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 133.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 45.26 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.09 โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 6.06 จากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 4.51
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลจากผลประกอบการประจำปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท เป็นจำนวนเงินท้งสิ้น 56,000,000 บาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท จึงคงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2564
ด้านเภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ จะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการขยายสาขาในปีที่ผ่านมา ครอบคลุม และเข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านโครงการต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคัก แม้ยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากนัก เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ไม่ได้เน้นที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่เป็นกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่นเป็นหลัก ทำให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ
สำหรับสาขาของบริษัท ณ สิ้นปี 2563 มีจำนวน 32 สาขา ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 26 สาขา จังหวัดพะเยา 4 สาขา และจังหวัดเชียงใหม่ 2 สาขา พร้อมหาสินค้าใหม่เข้ามาจำหน่าย โดยเฉพาะสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น จากการร่วมมือกับพันธมิตรนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย
สำหรับปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องอีก 5 สาขา หรือ ณ สิ้นปี 2564 จะมีสาขารวมกันทั้งสิ้น 37 สาขา วางงบลงทุนในการขยายรวมอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว 1 สาขา จึงตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10% และพยายามรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดี