บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD โชว์รายได้รวมปี 63 กว่า 3,900 ล้านบาท เติบโต 7.2% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19 หลังธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าห้องเย็น บริการโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ เติบโตได้ดี ส่วนธุรกิจรับฝากยานยนต์และรับฝากสินค้าอันตรายฟื้นตัวเร็ว ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.22 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ชูศักยภาพธุรกิจด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่หลากหลายอย่างครบวงจรและกระจายฐานธุรกิจในไทยและต่างประเทศ มั่นใจปี 64 พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563 สามารถทำรายได้รวมสูงกว่าปีก่อน แม้ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,922.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,660.2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ต้องการรักษารายได้รวมเท่ากับปี 2562 เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามมีบางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในช่วงที่บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิวในปีที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์, ธุรกิจ รับฝากและบริหารสินค้าอันตราย ส่งผลให้มีกำไรสุทธิปี 2563 รวม 290.0 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 362.8 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวมปี 2563 ที่เติบโตดีกว่าเป้าหมายนั้น มาจากธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปและธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นที่มีรายได้เติบโตกว่า 10% โดยในส่วนคลังสินค้าห้องเย็นปัจจุบันมีปริมาณการจัดเก็บสินค้าสูงสุดในรอบ 3-4 ปี เนื่องจากมีดีมานด์เพิ่มขึ้นและเกิดการเช่าพื้นที่เก็บสินค้าเป็นระยะเวลานานขึ้นในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ ส่วนธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์(Logistics Infrastructure) มีรายได้เติบโตอย่างโดดเด่น จากการรับบริหารท่าเทียบเรือสินค้าชายฝั่ง (Barge Terminal) ที่เปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ภายในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นระดับสูงกว่า 10,000 ตู้ต่อเดือนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา รวมถึงธุรกิจให้บริการห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) ที่มีรายได้เติบโตดี
นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากธุรกิจให้บริการอาหาร (Food Services) ในไต้หวัน ที่มีรายได้เติบโตก้าวกระโดดจากการขยายบริการจัดเตรียมวัตถุดิบแก่ผู้ประกอบการฟาสต์ฟู้ดชั้นนำ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน Transimex Corporation ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีในปีที่ผ่านมา
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานปี 2563 ในอัตรา 0.22 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 224.4 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 พฤษภาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า จากรายได้รวมในปี 2563 ที่เติบโตดีกว่าปีก่อนมาจากการวางยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่หลากหลายอย่างครบวงจร ตลอดจนรุกขยายการลงทุนในไทยและต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์ในระดับภูมิภาคอาเซียนให้เกิดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถก้าวผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคระบาดในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ปี 2564 มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ จะเป็นปีที่สามารถผลักดันรายได้และผลกำไรเติบโตได้ดี เนื่องจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรค COVID-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา ประกอบกับธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ รวมถึงธุรกิจรับฝากและบริหารคลังสินค้าอันตรายของ JWD มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยสามารถทำรายได้ช่วงไตรมาส 4/63 สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้
ส่วนสถานการณ์ธุรกิจในเดือนมกราคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ปัจจุบันมีความต้องการจัดเก็บสินค้ามากกว่าปริมาณพื้นที่รองรับได้ ส่วนการดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทย-เมียนมา ขณะนี้ยังดำเนินการได้ตามปกติ แต่อาจใช้ระยะเวลาการขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการตรวจตราที่เข้มงวด นอกจากนี้จะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่ขยายการลงทุนแล้วเสร็จ เช่น การเปิดให้บริการคลังสินค้าจัดเก็บเอกสารแห่งใหม่ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ, การเปิดบริการคลังห้องเย็นโรบอติกส์ (อาคาร 9), ขยายการให้บริการท่าเทียบเรือสินค้าชายฝั่งรองรับตู้คอนเทนเนอร์สำหรับสินค้าส่งออก เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีนี้