COM7 ประกาศกลยุทธ์ปี 64 ต่อยอดจุดแข็งในฐานะหนึ่งในผู้นำค้าปลีกสินค้าไอทีที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ ตั้งเป้าปีนี้สาขาโตแตะ 1,000 สาขา จากสิ้นปี 63 มี 911 สาขา หนุนเป้ารายได้ทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า 10% และคาดจะได้เห็นความร่วมมือระหว่าง COM7 และ NCAP รวมทั้ง อยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตร วางงบลงทุนราว 1 พันล้าน รับโอกาสนี้ ปีนี้เป็นอีกปีทองธุรกิจ หลังรายงานผลการดำเนินงานปี 63 ที่ผ่านมา พิสูจน์ความแข็งแกร่งภายใต้สถานการณ์ของโควิด-19 และในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ปิดเมือง โชว์กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,490 ล้านบาท โตสวย 23% รายได้รวมอยู่ที่ 37,454 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 12% โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้ จากการปรับ กลยุทธ์การตลาด พร้อมคุมเข้มค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ด้านบอร์ดควักกระเป๋าจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในอัตรา 1 บ./หุ้น กำหนดจ่าย 21 พ.ค.นี้
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจปี 64 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10% จากความต้องการสินค้า ไอทีและสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้ง ต้อนรับการมาของ 5G กระตุ้นยอดขาย และสอดรับพฤติกรรมใหม่ผู้บริโภค วางกลยุทธ์ขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีกประมาณ 1,000 สาขา และน่าจะมีโอกาสต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ๆ จากการที่ COM7 เข้าไปเป็นถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (NCAP) หนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และดำเนินธุรกิจด้านไฟแนนซ์ ซึ่งน่าจะเห็นความร่วมมือระหว่าง COM7 และ NCAP ชัดเจนขึ้นภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดใช้เงินลงทุนจากการขยายสาขาและลงทุนในกิจการเดิมรวมประมาณ 300 ล้านบาท และเตรียมเงินไว้สำหรับลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมอีก 500 - 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มจุดแข็ง และการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตร หากมีความคืบหน้าจะแจ้งใหทุกท่านทราบต่อไป
อย่างไรก็ดี สำหรับปี 63 ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีการปิดสาขาชั่วคราวตามนโยบายรัฐ แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษายอดขายและกำไรที่ดี ขณะที่ธุรกิจออนไลน์ในทุกช่องทางของคอมเซเว่นตลอดทั้งปี 63 เติบโต 396 % มากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในช่วงเดือน มีนาคม - เมษายน ปี 2563 ที่มีการล็อกดาวน์
โดยผลการดำเนินงานงวดประจำปี 63 มีกำไรสุทธิ 1,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,216 ล้านบาท มีรายได้จากการขายและให้บริการ 37,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 33,362 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจค้าปลีก 34,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ช่องทางจำหน่ายอื่นๆ 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% สามารถรักษายอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ต้องมีการปิดสาขาชั่วคราวตามนโยบายภาครัฐ ทั้งนี้ยอดขายที่เติบโตโดยหลักมาจากสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการ Work From Home และ Learn from home รวมถึง สินค้าที่รองรับกลุ่มผู้ที่สนใจการเกิดขึ้นสกุลเงินใหม่ (Cryptocurrency) และเส้นทางอาชีพใหม่อย่างยูทูปเบอร์
สำหรับภาพรวมสินค้ากลุ่มโทรศัพท์มือถือในปี 2563 ได้รับการตอบรับที่ดีทุกแบรนด์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการรัฐ ทำให้ประชาชนมีความต้องการสมาร์ทโฟนในการลงทะเบียนใช้สิทธิ์ในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ขณะที่สินค้ากลุ่ม Apple ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะ iPhone iPad และ Mac ทั้งรุ่นเก่าและใหม่ รวมถึง iPhone12 ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สามารถทำยอดจองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง
ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯ มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท จำนวนทั้งหมด 911 สาขา แบ่งเป็น BaNANA 303 สาขา Studio7 106 สาขา KingKong Phone 94 สาขา True Shop by Com7 122 สาขา แฟรนไชส์ 114 สาขา BKK 51 สาขา iCare 28 สาขา และอื่นๆ 93 สาขาโดย มีการขยายเพิ่มจากปีที่แล้วรวม 124 สาขา (ปี 2562 : 787 สาขา) โดยเป็นการเร่งขยายสาขาในไตรมาส 4/2563 เพื่อให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งยอดขายของสาขาใหม่จะเกิดขึ้นในปี 2564
รวมทั้งบริษัทฯ ได้มีแผนในการเปิดสาขา แบบ Stand Alone นอกห้างสรรพสินค้า เพื่อรองรับในสถานการณ์ต่างๆ เมื่อรวมกับสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ที่ตั้งอยู่ตามหัวเมืองสำคัญ ที่ปีนี้จะมีการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ให้ครบวงจร และต้องรองรับธุรกิจในอนาคต รวมทั้ง ส่งเสริมในการเป็นจุดรับสินค้า เมื่อลูกค้าสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1 บาท จากเงินกำไรสุทธิประจำปี 2563 ของบริษัทฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,200,000,000 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 30 เมษายน 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564