บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เปิดกำไรปี 2563 ทะลักกว่า 1,135 ลบ. เพิ่มขึ้น 74.2%จากปีก่อน ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับรู้กำไรขายโรงไฟฟ้าในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อนำมาลงทุนเพิ่มสร้างผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่าตัว หนุนสภาพคล่อง ฐานะการเงินแกร่ง กดอัตราส่วนหนี้ต่อทุนลดลงเหลือต่ำกว่า 1 เท่า ขณะที่บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.25บาท ฟากบิ๊กบอส "ยุทธ ชินสุภัคกุล" ระบุ ปี2564 ยังคงเป็นปีทองลุยเดินหน้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่อีกเพียบ เสริมด้วยธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 80% ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี เพิ่มสินทรัพย์แตะ 5 หมื่นล้านบาท
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในงวดปี 2563 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,763.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.35% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 2,103.73 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิประจำปี ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่รวม 1,135.312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 74% ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชี ห (Book Value) อยู่ที่ 5.21 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรจากการขายเงินลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ได้วางแผนไว้ เพื่อสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องจากเป็นการลงทุนตั้งแต่เริ่มโครงการ (Green Field Project) ที่บริษัทสามารถควบคุมและบริหารความเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นส่วนสำคัญได้แล้วทั้งหมด
"การถือโครงการต่างๆเอาไว้ในระยะยาว อาจดีกับบริษัทตรงที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่มั่นคงและแน่นอน แต่การขายโครงการที่ได้ราคาที่ดี ก็สามารถนำผลกำไรที่ได้ไปลงทุนต่อยอดในโครงการเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีต้นทุนโครงการที่ต่ำลง เนื่องจากการประหยัดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก" นายยุทธกล่าว
นอกจากนี้ ในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ประธานกรรมการบริษัทฯ ยังประเมินว่าจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีการเติบโตของยอดขายในระดับ 80%จากปีก่อน ในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทน บริษัทฯมีแผนขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆอีกจำนวนมาก ทั้งในและต่างประเทศ โดยล่าสุด ความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 160 MW ที่เวียดนาม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างก็เป็นไปตามเวลาที่กำหนดไว้ คาดว่าจะสามารถทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ได้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเวียดนามตอนกลาง ขนาดกำลังผลิตประมาณ 1,500เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการร่วมทุนกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคตอย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีความสนใจจะพิจารณาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ Solar 30,000 MW ของกองทัพบก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯมีตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีจะมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5 หมื่นล้านบาทได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดประจำปี 2563 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท และได้กำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น(Record Date)เพื่อรับเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564