(ต่อ1) วอเนอร์ ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง FANTASTIC

ข่าวทั่วไป Monday June 27, 2005 15:46 —ThaiPR.net

“แฟนตาสติค โฟร์ ยิ่งใหญ่มากในออสเตรเลีย ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมจึงคุ้นเคยกับการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างดี” แม็คแมนกล่าว “มันเป็นหนึ่งในเรื่องโปรดของผม ดร.ดูมทำให้ผมติดใจเสมอ และการได้รับบทนี้ในภาพยนตร์ถือเป็นโอกาสที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ นี่คือก้าวสำคัญสำหรับผมในทิศทางที่แตกต่างกันมากมายและเหตุผลที่หลากหลาย
“อย่างไรก็ตาม ผมต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากเสมอสำหรับผมที่จะเล่นเป็นผู้ร้าย เพราะผมไม่มีด้านเลวร้ายอยู่ในตัวเองเลย” แม็คแมนกล่าวยิ้มๆ “ทุกคนคาดว่าโยอัน (กริฟฟิดด์) เป็นคนเดียวที่ต้องถูกยืดออกในฐานะนักแสดง”
ดร.ดูม เป็นชื่อเล่นของนักอุตสาหกรรมมหาเศรษฐี วิคเตอร์ วอน ดูม หลังจากที่ประสบการณ์ในอวกาศที่ทำให้ดีเอ็นเอของเขาเปลี่ยนไป สำหรับแม็คแมน วิวัฒนาการของตัวละครเกี่ยวกับ “การถอดระบบความเชื่อทั้งหมดของชายคนหนึ่งออก”
“วิคเตอร์เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ซึ่งเป็นคนฉลาด มีเสน่ห์ แต่ไร้สาระอย่างมาก” แม็คแมนกล่าว “เขาห่วงแค่การทำให้อำนาจของเขาดีขึ้น ผมพยายามใส่จิตวิญญาณและอารมณ์ให้เขา ซึ่งผู้ชมน่าจะตระหนักได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ไร้สาระ รอยบาดบนใบหน้าไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเขาเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งในความเป็นจริงและในเชิงเปรียบเทียบ เขากำลังถอดชุด และปลดเปลื้องทุกอย่างออก และวางแผนที่จะไม่เอานักโทษไปเลย ไม่ใช่ภาพที่น่าดูนักสำหรับใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแฟนตาสติค โฟร์,โลก และโดยเฉพาะตัววิคเตอร์เอง”
“สิ่งที่เราทำกับดูมจะเกี่ยวกับความบอบบาง” เคิร์ต วิลเลียมส์กล่าว “จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของเขาจะช้ามาก เป็นกระบวนการหยุดพัก เราจึงรวมรายละเอียดเฉพาะเข้าไปในการแต่งหน้า จากนั้น เมื่อเราเข้าใกล้จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเขาจะเร็วราวติดเทอร์โบ และนั่นเป็นตอนที่เราต้องแน่ใจว่า พลังของเขามาจากสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติพอๆ กับของวีรบุรุษทั้งสี่คน อีกครั้ง ที่ใช้เอฟเฟกต์อันซับซ้อนเมื่อคุณเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายวิภาคของเขา ไม่เฉพาะกับผิวหนังของเขาเท่านั้น แต่เป็นระบบหลอดเลือดทั้งหมด ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกที่อยู่ด้านล่างด้วย
“การช่วยพาจูเลี่ยนผ่านส่วนโค้งของตัวละครเขาทางด้านภาพเป็นเรื่องสนุก” เฟอร์นานเดซ กล่าว “เขาเริ่มด้วยชุดสวยของนักออกแบบและเสื้อเชิ้ตสีซีด ทำให้ดูหล่อ ร่ำรวย เก๋ไก๋ และวิคเตอร์ผู้
ไร้สาระ เมื่อเขาเริ่มเปลี่ยน เราพาเขาเข้าสู่สีดำและเทาที่มืดมนมากขึ้น และในที่สุดจะเข้าสู่เสื้อคลุมสีเขียวเข้มคลาสสิก เราใช้วิธีที่ซับซ้อนมากกับเขาเพื่อเกลี่ยให้เข้ากับการแต่งหน้าและการทำวิชวล เอฟเฟกต์ได้อย่างแนบเนียน
วิลเลียมส์กล่าวว่า “สิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างเกี่ยวกับตัวละครดูม คือ เหมือนไมเคิล ชิคลิส แม้ว่า
จูเลี่ยนจะจบลงด้วยการกลายเป็นเหล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า คุณจะยังเห็นดวงตาของเขาอยู่ อีกครั้งที่นั่นคือสิ่งสำคัญในการรักษาความสอดคล้องของมุมมองของทิม สตอรี่ ตัวละครทั้งห้ามาจากสถานที่ที่น่าเชื่อและสมจริง และเราไม่ต้องการปิดบังส่วนใดไว้ พวกเขาคือคน ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ดังนั้น ผู้ชมจะเห็นอารมณ์ทั้งหมดของมนุษย์ซึ่งแสดงออกมาในการผจญภัยอันมหัศจรรย์ของพวกเขา”
เกี่ยวกับงานสร้าง
ความท้าทายของการใส่ชีวิตและพลังเข้าไปในตัวละครเป็นงานที่ยากลำบาก สิ่งที่เท่าเทียมกับการใช้เวลาและแรงงานอย่างมากคือการสร้าง “โลก” ที่วีรบุรุษอาศัยอยู่จากสำนักงานของวิคเตอร์ วอน ดูม อันทันสมัยไปจนถึงแนวโค้งอันหรูหราของสถานีอวกาศ จนถึงการผสมรายละเอียดทางสถาปัตยกรรม ซึ่งก็คืออาคารแบ็กซ์เทอร์อันมีชื่อเสียง ผู้ออกแบบฉาก บิล โบส์ ฉีกการ์ตูนหนึ่งหน้าจากปี 1961 เพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจของเขา
โบส์กล่าวว่า “เมื่อสแตน ลีและแจ๊ค เคอร์บี้เริ่มเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ในปี 1961 พวกเขาออกแบบด้านภาพได้สุดขีดมาก แฟนตาสติค โฟร์ของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่ยอดมากของสิ่งที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นการผลักดันแนวร่วมสมัย จากจุดนั้น ผมได้แรงบันดาลใจในการผลักดันเทคโนโลยีให้ไปไกลเท่าที่เราจะทำได้เพื่อให้ผู้ชมได้ยอมรับและเชื่อมัน การสร้างเมืองนิวยอร์คร่วมสมัย แต่เป็นที่ไร้กาลเวลา ที่ตัวละครใช้ชีวิต ทำงานและกอบกู้โลก”
ฉากใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นเพื่อหนังเรื่องนี้คือฉากภายในอาคารแบ็กซ์เทอร์ ห้องทดลองบนตึกสูงของรี้ด ริชาร์ดส์ และบ้านของกลุ่มแฟนตาสติค โฟร์ โบส์กล่าวว่าฉากนี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่เขาและผู้สร้างพยายามจะทำให้สำเร็จด้วยองค์ประกอบของงานออกแบบด้านภาพ
“อาคารแบ็กซ์ทาร์เป็นอาคารทรงอาร์ท เดคโคสมัย 1928 ในแมนฮัตตัน” โบส์กล่าว “รี้ด
ริชาร์ดส์ ครอบครองชั้นบนและเริ่มเพิ่มหน่วยต่างๆ เข้าไปยังอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นห้องทดลอง ห้องทำงานของเขา ส่วนที่พักอาศัย ฉะนั้น เมื่อคุณเห็นภายนอกและภายในของอาคาร จะมีการผสมผสานระหว่างของเก่าและของใหม่ เราขอยกย่องแจ๊ค เคอร์บี้ในฉากนั้น เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสถานที่สำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ของแฟนตาสติค โฟร์”โบส์กล่าวต่อว่า “มันเป็นฉากที่ออกแบบและสร้างได้สนุกจริงๆ จะมีสีสันและผิวสัมผัสที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนโทนของหนังที่เบากว่า เราเรียกมันว่าหนัง ‘กลางวัน’ เพื่อให้ตรงกันข้ามกับความรู้สึก ‘กลางคืน’ ที่มืดมนของหนังเรื่อง’เอ็กซ์เม็น’ นั่นคืออีกเหตุผลที่ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในหนังจะเป็นช่วงกลางวัน มันเหมาะกับโทนของการ์ตูนและหนังมากกว่า”
โบส์มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลความสม่ำเสมอของภาพของสถานที่ถ่ายทำทั้งในและนอกแวนคูเวอร์ ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเวลาสี่เดือนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ของปี ค.ศ. 2004 ฉากใหญ่ที่สุดสองฉากในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นบนสะพานบรูคลิน และภายในสนามกีฬาเหมือนถ้ำสำหรับฉากการแข่งขันกีฬาเอ็กซ์เกมมอเตอร์ครอส
“เราทุกคนอยากถ่ายทำฉากแอ็กชันบนสะพานบรูคลินจริงๆ ในนิวยอร์ค แต่มันมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย เราสร้างส่วนหนึ่งของฉากติดกับท่าเรือเพียร์ 94 ทางชายฝั่งตอนเหนือของแวนคูเวอร์ เราสร้างส่วนหนึ่งของสะพานยาว 200 ฟุต กว้าง 34 ฟุต ไปจนถึงรายละเอียดของสลัก สีที่ทา ไปจนถึงโคมไฟย้อนยุค ถนนที่ผ่านสะพานขยายออกไปอีกราวครึ่งไมล์เหมือนสนามแข่ง ซึ่งทำให้สร้างพาหนะและอุปกรณ์ขึ้นมาได้ง่ายขึ้นมาก จากนั้นเราก็ล้อมมันไว้ด้วยฉากสีน้ำเงิน บางส่วนซึ่งอยู่กับที่ บางส่วนที่เคลื่อนที่ได้ และบางส่วนสูงเกือบ 50 ฟุตเหนือฉาก
“เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้สะพานออกมาเหมือนจริง” โบส์กล่าว “เพราะฉากที่ใหญ่และสำคัญเกิดขึ้นที่นั่น บนสะพานบรูคลินที่กลุ่มแฟนตาสติค โฟร์ได้ค้นพบพลังของพวกเขาอย่างเต็มที่ และจบลงด้วยการกอบกู้โลกเอาไว้เป็นครั้งแรก”
ราล์ฟ วินเทอร์ ผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า “ด้วยการรวมกันของชิ้นส่วนของสะพานที่เหมือนจริง ภาพมุมสูงเราถ่ายทำในนิวยอร์คและแวนคูเวอร์ และงานวิชวล เอฟเฟกต์ในระหว่างการตัดต่อ เราสามารถปะมันเข้าด้วยกัน ซึ่งให้ความรู้สึกว่าคุณกำลังอยู่บนสะพานบรูคลิน 200 ฟุตเหนือระดับน้ำ”
เกี่ยวกับนักแสดง
โยอัน กริฟฟิดด์ (รี้ด ริชาร์ดส์ / มิสเตอร์ แฟนตาสติค) เริ่มต้นการแสดงในช่วงวัยรุ่นในเมืองบ้านเกิดของเขา คาร์ดิฟฟ์ เวลส์ ตอนอายุ 18 เขาสมัครเข้าเรียนที่ The Royal Academy of Dramatic Arts ในลอนดอน และเมื่อเรียนจบ เขาเริ่มทำงานเกือบจะทันทีที่ในสหราชอาณาจักร ชื่อบทบาทของเขาที่แสดงในมินิซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี่ เรื่อง “Horatio Hornblower” ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงระดับนานาชาติในหมู่แฟนๆ และนักวิจารณ์
ครั้งสุดท้ายที่กริฟฟิดด์แสดงคือบทของแลนซ์ล็อต ที่เล่นกับเคียร่า ไนท์ลีย์และไคล์ฟ โอเว่น ใน ”King Arthur” สำหรับบริษัทดิสนีย์
ภาพยนตร์ของเขาก่อนหน้านี้ ได้แก่ “Titanic” “102 Dalmatians” “Solomon and Gaenor” (ได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม) และ“Black Hawk Down” ของเจอรี่ บรัคไฮเมอร์
เจสสิก้า อัลบ้า (ซูซาน สตอร์ม / มนุษย์ล่องหน) แสดงในภาพยนตร์เรื่องที่กำลังจะออกฉาย “Into the Blue” ซึ่งร่วมแสดงกับ พอล วอล์กเกอร์, จอช โบรลิน และ สก็อต คาน ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยใต้น้ำเกี่ยวกับเรื่องนักดำน้ำ ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันตรายหลังจากที่พวกเขาค้นพบขุมทรัพย์ที่จมอยู่ใต้น้ำ
เธอเพิ่งจะแสดงในภาพยนตร์เรื่อง“Sin City” ซึ่งกำกับโดยโรเบิร์ต รอดริเกซ อัลบ้าแสดงเป็นแนนซี่ นักเต้นรำซึ่งเป็นหัวใจหลักของซินซิตี้ โดยแสดงกับบรูซ วิลลิส ในหนึ่งในสามเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้
บทบาทแรกของอัลบ้าในภาพยนตร์ของสตูดิโอขนาดใหญ่คือภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2003 เรื่อง“Honey” ซึ่งทำรายได้ในประเทศกว่า 30 ล้านดอลลาร์ เธอแสดงเป็นฮันนี่ เดเนียลส์ นักเต้นและผู้ออกแบบท่าเต้น ซึ่งทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์และเสมียนร้านขายแผ่นเสียง จนกระทั่งเธอได้มีชื่อเสียงขึ้นมาในวงการดนตรี และตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญกับเธอจริงๆ ภาพยนตร์แนวชีวิตร่วมสมัยของคนเมืองที่ร่วมแสดงกับ ลิล โรมีโอ, เมคี ไฟเฟอร์ และจอย ไบรอัน ร่วมด้วยดารานักร้องฮิปฮอป/อาร์แอนด์บี มิสซี่ เอลเลียต, เจนูอิน,ฌอน เดสมอนด์, ทวี้ต และจาดาคิส
อัลบ้าประสบความสำเร็จไปทั่วโลกในฐานะนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “Dark Angel” ของเจมส์ คาเมรอน ภาพยนตร์เรื่องแรกนับตั้งแต่ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์“Titanic” และภาพยนตร์ทางทีวีเรื่องแรกของเขา ในภาพยนตร์ซีรีส์ อัลบ้าแสดงเป็นแม็กซ์ ต้นแบบมนุษย์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรม ซึ่งหนีไปจากหน่วยงานของรัฐบาลที่จับเธอไว้ เพื่อใช้ชีวิตใต้ดินในเมืองซีแอตเติลในศตวรรษที่ 21 ในปีแรกของซีรีส์ชุดนี้ เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและพีเพิลส์ ชอยส์ อะวอร์ด เธอได้รับการโหวตจากผู้อ่านทีวี ไกด์ อะวอร์ดให้เป็น ดาราที่มาแรงที่สุดแห่งปี และชนะรางวัลนักแสดงทีวีคนโปรดในการมอบรางวัล 2001 ทีน ชอยส์ อะวอร์ด “Dark Angel” ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ทำให้เธอกลายเป็นดาราระดับนานาชาติ ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบวีดีโอและดีวีดี รวมทั้งยังมีเพลงประกอบภาพยนตร์และตุ๊กตาในท่าต่างๆ
อัลบ้ายังตกลงกับยูนิเวอร์ซัล พิกเจอร์ส และสไตร์ค เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เพื่อผลิตและแสดงในภาพยนตร์ที่มาจากหนังสือการ์ตูน ซึ่งมีซีรีส์อยู่จำกัด เรื่อง“Beautiful Killer” จากแบล็ค บูล คอมมิกส์ ภาพยนตร์ที่ยังไม่มีชื่อนี้จะดึงเอาองค์ประกอบหลักมาจากตัวหนังสือการ์ตูน เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงซึ่งสูญเสียครอบครัวไปเพราะฆาตรกรลึกลับ ถูกบังคับให้หนีและในที่สุดเธอเลือกที่จะแก้แค้น
อัลบ้าหลงรักการแสดงตั้งแต่ยังเด็กมากๆ เธอกลายเป็นนักแสดงอาชีพตอนอายุ 12 ปี เธอเริ่มเรียนการแสดงที่ลอสแองเจลิส และไม่นานหลังจากนั้น ก็ไปทำงานกับแอตแลนติก เธียเตอร์ คอมพานีซึ่งเป็นที่ๆ เธอศึกษากับผู้ก่อตั้ง วิลเลี่ยม เอช เมซีย์ และเดวิด มาเม็ต
ภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของอัลบ้า ได้แก่ “Never Been Kissed” ของทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ แสดงนำและอำนวยการสร้างโดย ดรูว์ แบรี่มอร์ รวมทั้งภาพยนตร์ระทึกขวัญ “Idle Hands” ของโซนี่ พิกเจอร์ส ต่อมาเธอร่วมแสดงใน “The Sleeping Dictionary” ของไฟน์ ไลน์ ฟีเจอร์ส ภาพยนตร์แนวชีวิตย้อนยุคซึ่งแสดงร่วมกับ เบรนดา เบลไธน์, บ๊อบ ฮอสกินส์, เอมิลี่ มอร์ติเมอร์, โนอาห์ ไทเลอร์ และฮิวช์ แดนซี่
ลอรีอัลเซ็นสัญญาให้เธอเป็นนางแบบเครื่องสำอางทั่วโลกในช่วงต้นปี 2001เธอยังร่วมถ่ายแบบในแผนการรณรงค์เชิญชวนให้คนดื่มนม และจะแสดงในซีรีส์โฆษณาชุดใหม่ของแก๊ปในฤดูใบไม้ร่วงนี้ เธอเป็นนางแบบปกนิตยสารจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเธอเป็นคนสวยแปลก อัลบ้าได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวอเมริกันหัวโบราณในแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวของแม่เธอมีเชื้อสายฝรั่งเศส-เดนมาร์ค ขณะที่พ่อของเธอเป็นเม็กซิกัน-อินเดียนและมีเชื้อสายชาวสเปน
คริส อีแวนส์ (จอห์นนี่ สตอร์ม / มนุษย์พระเพลิง) แสดงร่วมกับ คิม เบซิงเงอร์ และวิลเลี่ยม เอช เมซีย์ ใน“Cellular” ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องนี้ เขาแสดงเป็นชายหนุ่มที่รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไป (เบซิงเงอร์ ) เธอพยายามพูดให้เขาเชื่อเธอและช่วยเหลือครอบครัวของเธอ
อีแวนส์ได้รับบทนำในเรื่อง “The Perfect Score” โดยเล่นเป็นไคล์ นักเรียนที่ชวนคนอีกห้าคนให้ช่วยเขาขโมยข้อสอบเอสเอทีที่กำลังจะจัดขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ทำคะแนนได้เพิ่มขึ้นและได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เขาเลือก ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ทอลลิน/ร็อบบินส์ และร่วมแสดงโดย
เอริก้า คริสเต็นเซ่นและสการ์เล็ต โจแฮนสัน
อีแวนส์แสดงในภาพยนตร์อิสระ เรื่อง “Fierce People” คู่กับไดแอน เลนและโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ และในเรื่อง “The Orphan King” กับอเล็กซิส เบลเดิล เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกเรื่อง “Not Another Teen Movie”
อีแวนส์เรียนเต้นรำและการละครภายใต้การกำกับของครูหรือแม่ของเขา ในไม่ช้า เขาก็ค้นพบวิถีทางของเขาในการแสดงละครเวที ด้วยการแสดงละครเวทีอาชีพเรื่อง ”Sunday Visitors” ณ โรงละครบอสตัน เพลย์ไรท์ส เธียเตอร์ และเทศกาลอีแม็ค รวมทั้งโปรดักชั่นของสปีคส์ พรีวิวส์ เรื่อง “Suckers” ในบอสตัน
ตอนอายุ 17 อีแวนส์เซ็นสัญญากับบริษัทตัวแทนในนิวยอร์ค และไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้รับเลือกให้แสดงในหนังซีรีส์ของฟ็อกซ์เรื่อง “Opposite Sex” เขาเป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง “Boston Public” และ“The Fugitive” อีแวนส์โตขึ้นใกล้ๆ เมืองบอสตัน เมสซาชูเช็ตต์ ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส
ไมเคิล ชิคลิส (เบน กริมม์/ เดอะ ธิง) กลับมาแสดงทีวีซีรีส์ด้วยบทนำในดราม่าซีรีส์เรื่องแรกของ FX เรื่อง “The Shield” ละครชีวิตเกี่ยวกับตำรวจเรื่องดังความยาวหนึ่งชั่วโมง ที่ปัจจุบันออกฉายเป็นปีที่สามแล้ว การแสดงอันโดดเด่นของเขาทำให้ชิคลิสได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทละครชีวิต และชนะรางวัลเอ็มมี่สำหรับนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในประเภทละครชีวิต รวมทั้งรางวัลสมาคมนักวิจารณ์โทรทัศน์ สำหรับนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทละครชีวิต รางวัลเอ็มมี่ของเขานับเป็นครั้งแรกที่มีนักแสดงนำในรายการที่ออกอากาศทางช่องเคเบิลทั่วไปได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทนี้
“The Shield” เปิดตัวด้วยสถิติการทำเรตติ้งสูงให้กับบริษัทเอฟเอ็กซ์ของฟ็อกซ์ และยังคงได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์และผู้ชมทางโทรทัศน์ ชิคลิสแสดงเป็นนักสืบวิค แม็คคีย์ ตำรวจอันธพาลและผู้นำของกองกำลังในเขตพื้นที่ ซึ่งปฏิบัติการณ์ภายใต้กฎของเขาเองในความพยายามที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยตามถนนในลอสแองเจลิส
ชิคลิสเริ่มสร้างความบันเทิงให้กับครอบครัวของเขาด้วยการเลียนแบบคนมีชื่อเสียงตอนที่เขาอายุเพียงแค่ห้าขวบ ตอนเป็นเด็ก ชิคลิสปรากฏตัวในงานละครเวทีและได้รับอีควิตีการ์ดตอนที่เขาอายุสิบสาม ต่อมาเขาเข้าเรียนที่ Boston University School of Performing Arts ซึ่งเป็นที่ๆ เขาได้รับปริญญาตรี
ไม่กี่วันหลังจากจบการศึกษา ชิคลิสไปทดสอบบทสำหรับบทจอห์น เบลูชี่ ในภาพยนตร์ที่มีการโต้แย้งกันมากเรื่อง “Wired” บทที่เขาได้แสดงในอีกสามปีต่อมา เขารับเชิญไปแสดงในซีรีส์เรื่องดัง “Miami Vice” “L.A. Law” “Murphy Brown” และ “Seinfeld”
ปี ค.ศ. 1991 ชิคลิสได้รับบทนำในเรื่อง “The Commish” ซึ่งออกอากาศทางเอบีซีจากปี 1991-1996 ชิคลิสแสดงเป็นโทนี่ สกาลี ผู้บัญชาการตำรวจผู้แข็งกร้าวแต่เป็นคนยุติธรรม ซึ่งเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน บทบาทที่อิงมาจากเรื่องจริงของผู้บัญชาการตำรวจนิวยอร์ค ซึ่งเดิมต้องการคนที่แก่กว่านี้ แต่ชิคลิสก็ชนะใจผู้อำนวยการสร้างและได้รับบทนี้
หลังจากที่รายการจบ ชิคลิสไปยังบรอดเวย์และแสดงนำในการแสดงเดี่ยวเรื่อง “Defending the Caveman” ภาพยนตร์ของเขา ได้แก่ “The Tax Man” กับโจ ปอนโตเลียโน่ “Do Not Disturb” ที่แสดงกับวิลเลี่ยม เฮิร์ทและเจนนิเฟอร์ ทิลลี่ “Last Request” และ “Body and Soul” การแสดงทางโทรทัศน์ของเขายังมีบทคริส วู้ด พ่อที่อยู่แต่ที่บ้านในคอมมาดี้ทางเอ็นบีซีเรื่อง “Daddio” รวมทั้งแสดงบทเคอร์ลีย์ในหนังของเอบีซีเรื่อง“The Three Stooges” ซึ่งอำนวยการสร้างโดย เมล กิ๊บสัน
งานต่อไปของชิคลิส คือ ภาพยนตร์อิสระ เรื่อง“Rise” ภาพยนตร์สยองขวัญที่กำกับโดย
เซบาสเตียน กูเตียร์เรส ที่มีลูซี่ หลิว ร่วมแสดงด้วย
จูเลี่ยน แม็คแมน (วิคเตอร์ วอน ดูม/ ดร.ดูม) แสดงในดราม่าซีรีส์ของเอฟเอ็กซ์ เรื่อง “Nip/Tuck” สร้างสรรค์และอำนวยการสร้างโดย ไรอัน เมอร์ฟีย์ “Nip/Tuck” ยังมี ดีแลน วอลช์, โจลีย์
ริชาร์ดสัน และจอห์น เฮนส์ลีย์ นำแสดง ฉากหลังคือโลกอันแสนเซ็กซี่ของเซาธ์บีชที่ไมอามี่ “Nip/Tuck” ที่ผ่าลงไปใต้ผิวของโลกอันผิวเผินของการทำศัลยกรรมพลาสติก ได้เปิดเผยเรื่องราวความซับซ้อนและธรรมชาติอันเปราะบางของคนไข้ที่พยายามจะปิดบังข้อบกพร่องทางจิตใจของพวกเขาผ่านทางการทำศัลยกรรมทางร่างกาย แม็คแมนเล่นเป็น ดร.คริสเตียน ทรอย ซึ่งร่วมกันทำศัลยกรรมพลาสติกกับเพื่อนรักของเขา ดร.ฌอน แม็คนามาร่า (ดีแลน วอลช์ ) จนโด่งดัง
“Nip/Tuck” ได้รับรางวัลมากมาย ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสิบของหนังทีวีที่ดีที่สุดแห่งปี โดยเอเอฟไอ และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลจีแอลเอเอดี และรางวัล ดาวเทียมทองคำ แม็คแมนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดาวเทียมทองคำในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทละครชุดแนวชีวิต
แม็คแมนเพิ่งจะแสดงในภาพยนตร์อิสระเรื่อง“Prisoner” สำหรับทีมผู้เขียนบท/กำกับ เดวิด อัลฟอร์ดและโรเบิร์ต ลินน์ ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่ แม็คแมนแสดงเป็นผู้กำกับ
ภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด ซึ่งขณะที่ค้นหาคุกร้างสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา เขาถูกนักโทษผู้รอบรู้จับไปเป็นตัวประกัน เอเลียส โคเทียส แสดงเป็นนักโทษ
แม็คแมนแสดงเป็นนักสืบจอห์น แกรนท์ในละครชุดแนวชีวิตของเอ็นบีซีที่ได้รับรางวัลเรื่อง “Profiler” จากนั้น เขาร่วมแสดงในรายการฮิตของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง “Charmed” ซึ่งแม็คแมนแสดงเป็นปิศาจผู้ทุกข์ทรมานที่ชื่อ โคล เทอร์เนอร์ ซึ่งสร้างเรื่องราววุ่นวายและมีความรักกับพี่น้องตระกูลฮัลลีเวลส์ ซึ่งแสดงโดย อลิซ่า มิลาโน่, ฮอลลี่ มารี โคมบ์ส, แชนน่อน โดเฮอร์ตี้ และจากนั้นมี โรส แม็คโกเว็น ร่วมแสดง แม็คแมนแสดงบทนำในหนังอิสระเรื่อง “Meet Market” โดยแสดงกับ
อลิซาเบ็ธ เบิร์คลีย์, อลัน ทูดิค และไอช่า ไทเลอร์
แม็คแมนซึ่งได้รับคำชื่นชมจากออสเตรเลีย ได้รับบทนำในละครแนวชีวิตช่วงไพรม์ไทม์เรื่อง “The Power, The Passion” จากนั้น เขาร่วมแสดงในซีรีส์ฮิตเรื่อง “Home and Away” ซึ่งมี กาย เพียซ, ฮีธ เลดเจอร์, มาร์ติน เฮนเดอร์สัน และนาโอมี วัตส์ ร่วมแสดง ปี 1992 แม็คแมนเริ่มเข้าสู่วงการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็น เอียน เรน ในละครชีวิตช่วงกลางวันเรื่อง “Another World” เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ทางเคเบิลเรื่อง“In Quiet Night” และ “Another Day” ซึ่งอำนวยการสร้างโดย ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า และนำแสดงโดย แชนน่อน โดเฮอร์ตี้ และ แบรด เรนโฟร งานแสดงทางโทรทัศน์เรื่องอื่นๆ ของเขา คือ การเป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง“Will & Grace”
สำหรับภาพยนตร์ เขาแสดงร่วมกับ เอลเลียต กูลด์ ในเรื่อง“Wet and Wild Summer” และร่วมแสดงกับ เจฟฟ์ เดเนียลส์ ในเรื่อง“Chasing Sleep” งานละครเวทีของเขา ได้แก่ผลงานที่แสดงในซิดนีย์และเมลเบิร์นเรื่อง “Love Letters”
เคอร์รีย์ วอชิงตัน(อลิเชีย มาสเตอร์ส) ได้รับบทนำในภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลออสการ์ Ray โดยแสดงเป็น เดลล่า ภรรยาของเรย์ ชาร์ลส เมื่อไม่นานมานี้ เธอแสดงร่วมกับ แบรด พิตต์ และ แองเจลิน่า โจลี ใน“Mr. and Mrs. Smith” จัดจำหน่ายโดยทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
วอชิงตันได้รับบทนำในภาพยนตร์จของผู้กำกับ สไปค์ ลี เรื่อง“She Hate Me” เธอร่วมแสดงในหนังของเอชบีโอโดยผู้กำกับ ซิดนีย์ ลูเม็ต เรื่อง“Strip Search” ซึ่งเปิดเผยเรื่องโรคหวาดระแวงที่ระบาดไปทั่วอเมริกานับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน วอชิงตันร่วมแสดงในภาพยนตร์อิสระเรื่อง “Sexual Life” เรื่องราวสั้นๆ หลายเรื่องเกี่ยวกับผู้คนและความสัมพันธ์ของพวกเขา
ในปี 2002 วอชิงตันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์ สปิริต อะวอร์ด สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่อง “Lift” เขียนและกำกับโดย เดมาน เดวิสและคารี สตรีทเทอร์ เธอได้รับบทนำในเรื่อง “Save the Last Dance” และได้รับรางวัลทีน ชอยซ์ อะวอร์ด สำหรับการแสดงที่โดดเด่นที่สุด
วอชิงตันยังแสดงใน “Against the Ropes: The Jackie Kallen Story” ที่มีเม็ก ไรอัน นำแสดง เธอร่วมแสดงในเรื่อง“Sin” กับ แกรี่ โอล์ดแมน และ วิง เรมส์ และแสดงในเรื่อง“United States of Leland” กับเควิน เบคอน และ ไรอัน กอสลิ่ง
ภาพยนตร์เรื่องอื่นของเธอ ได้แก่ “The Human Stain” แสดงกับนิโคล คิดแมน และ แอนโธนี่ ฮอปกินส์ และเรื่อง“Bad Company” ของผู้อำนวยการสร้าง เจอรี่ บรัคไฮเมอร์ แสดงนำโดย คริส ร็อคและแอนโธนี่ ฮอปกินส์ กำกับโดยโจล ชูมัคเกอร์ ก่อนหน้านั้น วอชิงตันแสดงในภาพยนตร์อิสระที่มีชื่อเสียงเรื่อง “Our Song” โดยเล่นเป็นวัยรุ่นที่ฉลาดแต่มีปัญหา
ยามว่าง วอชิงตันเป็นผู้สนับสนุนของ Creative Coalition ซึ่งเป็นกลุ่มที่อุทิศตัวเพื่อเรียกร้องให้ผู้คนตระหนักถึงสิทธิในร่างแก้ไขพระราชบัญญัติฉบับแรก เธอยังมีบทบาทในโครงการใหม่ของนครนิวยอร์ค ที่ชื่อว่า Adopt-A-Classroom.
เกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์
ทิม สตอรี่ (ผู้กำกับ) เริ่มงานกำกับภาพยนตร์กับค่ายใหญ่ครั้งแรกในปี 2002 ด้วยภาพยนตร์ตลกเรื่องฮิต “Barbershop” นำแสดงโดย ไอซ์ คูบ, เซดริก ดิ เอ็นเตอร์เทนเนอร์, แอนโธนี่ แอนเดอร์สัน และอีฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอิมเมจ อะวอร์ด สาขาภาพยนตร์โดดเด่น
เร็วๆ นี้ เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอ็กชันคอมมาดี้เรื่อง “Taxi” ที่นำแสดงโดย ควีน ลาติฟาห์และจิมมี่ ฟัลลอน จัดจำหน่ายโดย ทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
สตอรี่เกิดและโตในลอสแอลเจลิส เขาเริ่มหลงรักภาพยนตร์ตอนอายุ 12 โดยการทำภาพยนตร์เงียบกับกล้อง 8 มม.ซึ่งได้รับมรดกจากพี่ชายของเขา นักแสดงประกอบไปด้วยคนในครอบครัวและเพื่อนๆ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินและทำงานสะดวก ขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย สตอรี่เริ่มอาชีพด้านดนตรี โดยการร้องเพลงแร๊ปกับวงไรม์ ซินดิเคตของไอซ์ ที ก่อนที่จะเซ็นสัญญาทำอัลบัมกับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส อาชีพนักร้องเพลงแร๊ปของสตอรี่ก็ต้องหยุดกระทันหัน เมื่อคู่แค้นในย่านที่พักยิงสมาชิกในวงคนหนึ่งตาย
หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม สตอรี่เริ่มอำนวยการสร้างและกำกับการแสดงความสามารถและรายการเพลงวาไรตี้ เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนการสอนการสร้างภาพยนตร์ของยูเอสซี ตั้งแต่ปี 1990 ถึง 1993 ทำให้เขาได้ทักษะในการสร้างภาพยนตร์ หลังจากออกจากโรงเรียนสอนการสร้างภาพยนตร์ เขาอำนวยการสร้าง เขียนบท ตัดต่อ และกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวสองเรื่องด้วยทุนของตัวเอง ภาพ-ยนตร์อิสระสองเรื่องของเขา ได้แก่ “One of Us Tripped” ในปี 1996 (ผู้ชนะในเทศกาลภาพยนตร์ขนาดยาวของแบล็ค ฟิล์มเมคเกอร์ส ฮอล ออฟ เฟม) และ“The Firing Squad” ในปี 1998 เขายังกำกับมิวสิควิดีโออีกหลายเพลง เช่น ของ เอ็นซิงค์, อาร์ เคลลี่, ไทรีส, จอน บี และ อินเดีย เอรี
เบิร์นด์ ไอคิงเกอร์ส (ผู้อำนวยการสร้าง) มีผลงาน เช่น “Resident Evil: Apocalypse,” “Resident Evil,” “Wrongfully Accused,” “Smilla’s Sense of Snow,” “The House of the Spirits,” “Last Exit to Brooklyn,” “The Name of the Rose” และ “The Neverending Story” เมื่อไม่นานมานี้ เขาอำนวยการสร้างเรื่อง “The Downfall” (Der Untergang) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ในช่วงเตรียมงานก่อนการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีผู้ชมรอคอยเป็นจำนวนมาก เรื่อง “Perfume: The Story of a Murderer”
ไอคิงเกอร์สเกิดในเมืองนูเบิร์ก แคว้นบาวาเรีย เขาเข้าเรียนในโรงเรียนประจำและทำตามความฝันทางด้านดนตรีจนกระทั่งเขาได้รับเลือกให้เข้าเรียนที่ Munich Academy for Television and Film เขาเริ่มการเขียนบทและทำงานเป็นผู้จัดการกองถ่ายที่ บีอาร์ สถานีโทรทัศน์และวิทยุของรัฐของแคว้นบาวาเรีย ต่อมาเขาก่อตั้งบริษัท โซลาริส ซึ่งเป็นบริษัทรับผลิตงาน ในปี ค.ศ.1974 และกลายเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการภาพยนตร์เยอรมันยุคใหม่ เมื่อบริษัทผลิตงานคอนสแตนตินมีปัญหาทางด้านการเงิน ไอคิงเกอร์สออกแบบแผนการกอบกู้และในที่สุดได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นและประธานกรรมการบริหารบริษัท เขาไม่ได้ออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของคอนสแตนตินฟิล์มเอจีจนกระทั่งเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา
อาวี อาราด (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นประธานและประธานกรรมการบริหารของมาร์เวล สตูดิโอส์ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการนำตัวละครของมาร์เวล คอมมิกส์มาสู่จอภาพยนตร์ โดยการทำงานกับผู้กำกับ นักเขียน ผู้อำนวยการสร้าง และผู้บริหารสตูดิโอ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดหลายคนของฮอลลีวูด ที่จะดูแลให้ตัวละครของมาร์เวลมาสู่ภาพยนตร์ที่ใช้ผู้แสดงและภาพยนตร์เอนิเมต อาราดทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารของ “Spider-Man” ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทำลายสถิติไปทั่วโลก นำแสดงโดย โทบี้ แม็คไกวร์ในบทซูเปอร์ฮีโร่ชักใยของมาร์เวลที่มีคนรักมาก กำกับการแสดงโดย แซม ไรมี่ และนำแสดงโดย แม็คไกวร์, เคิร์ซเท็น ดันส์ต, วิลเลี่ยม เดโฟ และเจมส์ ฟรังโก้ “Spider-Man” กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ห้า
ภาพยนตร์ภาคต่อที่มีคนรอดูเป็นจำนวนมาก “Spider-Man 2” เป็นการกลับมารวมกันทำงานของผู้กำกับไรมี่และโทบี้ แม็คไกวร์, เคิร์ซเท็น ดันส์ต และเจมส์ ฟรังโก้ ร่วมด้วยอัลเฟร็ด โมลิน่า ในบท ด็อก อ็อก เช่นเดียวกับภาพยนตร์ภาคแรก “Spider-Man 2” ประสบความสำเร็จมากในด้านรายได้ และ “Spider-Man 3” กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ