บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ย้ำค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 4 เดือน และความต้องการใช้ยางพาราที่สูงกว่าปี 2563 จะเป็นผลดีกับยอดขายของบริษัท ด้านบล.เคทีบีเอสที ออกบทวิเคราะห์ความต้องการใช้ยางธรรมชาติโลกปี 2021 เพิ่มขึ้น 8-10% จะส่งผลดีต่อรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 4 เดือน โดยอ่อนค่าทดสอบ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ (เมื่อวันที่ 26 มี.ค.) นั้นบริษัทจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อยอดการขายสินค้าล่วงหน้าของบริษัทที่จะเติบโตในไตรมาสที่ 2 ประกอบกับการประเมินภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราในปี 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ด้านบทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า NER ได้รับผลบวกโดยตรงจากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากแนวโน้มขาขึ้นของ ราคายางธรรมชาติและสามารถทรงตัวได้ในระดับสูง จะส่งผลดีต่อรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันราคายางแท่ง STR อิงตลาด SICOM ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 177 USD Cents/kg (+18% YTD) มองว่า จะได้รับประโยชน์เนื่องจาก NER มีธุรกิจหลัก เพียงธุรกิจเดียวคือการขายยางธรรมชาติ ทำให้ประเมินว่าอัตรากำไรขึ้นต้นในปี 2021 จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 11.0% จาก10.8%ของปีก่อนหน้าประกอบกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,433 ล้านบาท (+67%YoY)
นอกจากนี้บริษัทหลักทรัพย์ ทรินิตี้ จำกัด มองปัจจัยการส่งออกจะพลิกกลับมาเติบโตได้ถึง 4.0% บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี โดยการส่งออกสินค้าสินค้าจำพวกเกษตรมีการเติบโตได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมอื่น