ผู้ถือหุ้น บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ หรือ SFLEX โหวตอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดอัตรา 0.045 บ./หุ้น รวมเป็นเงิน 36.9 ล้านบาท พร้อมจ่ายวันที่ 6 พ.ค.นี้ ฟาก "สมโภชน์ วัลยะเสวี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกอ่อนเพิ่มแตะ 270 ล้านเมตรต่อปี จากเดิม 215 ล้านเมตรต่อปี เน้นขยายตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ ลุยสินค้าบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมในกลุ่มอาหารและเครื่องมือแพทย์ ดันมาร์จิ้นพุ่ง หนุนผลงานปีนี้โตทะลุเป้าทุบสถิตินิวไฮ
นายสมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 มีมติอนุมัติจัดสรรเงินกำไรเป็นทุนสำรองตามกฎหมาย จำนวน 1.85 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลจากเงินกำไรของบริษัทจากผลประกอบการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.045 บาท รวมเป็นเงิน 36.9 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 20 เมษายน 2564 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมเป็นเงิน 32.8 ล้านบาท ณ มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ส่งผลทำให้ ทั้งปีบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลรวม 0.085 บาทต่อหุ้น ณ มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขาย Flexible Packaging จะไม่ต่ำกว่า 1,560 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งในปีนี้คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 270 ล้านเมตรต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 215 ล้านเมตรต่อปี รวมถึงการมีกลยุทธ์ที่จะเน้นขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้มีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม Food และเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าเกรดพรีเมี่ยม และเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรในระดับที่สูง ขณะที่จะช่วยผลักดันมาร์จิ้นสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าในปีนี้สัดส่วนสินค้าในกลุ่มกลุ่ม Food และเครื่องมือแพทย์จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25-30% ขณะที่ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นสินค้ากลุ่ม Non-Food มีสัดส่วน 70-75%
"ภาพรวมปีนี้เราคาดว่าจะสามารถสร้างสถิติใหม่สูงสุดได้ต่อเนื่อง หลังจากที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 270 ล้านเมตรต่อปี รวมทั้งมีแผนขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมไปสู่กลุ่ม Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์มากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิยังอยู่ในระดับที่ดี" นายสมโภชน์ กล่าวในที่สุด