กูรูหุ้นจากบล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) ชี้เป้าราคาพื้นฐานอยู่ที่ 7.15 บาท เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นทั่วโลก ขณะที่เหล็ก Pre-Zinc เสมือนธุรกิจ New economy ทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น ประเมินกำไรไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้น 252.8% ดันทั้งปีทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดเติบโตจากปีก่อน 43.6% ระบุยังไม่นำรวมธุรกิจใหม่ "โรงเรือนกัญชง" หากทำได้ตามเป้า 500ไร่ จะช่วยเพิ่มการทำกำไรและมูลค่าหุ้นได้อีก ด้านบล.เอเอสแอล ชี้ กรอบราคาเหมาะสมของ ZIGA-W1อยู่ช่วงประมาณ 5.06-6.06 บาทต่อหน่วย
บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยระบุว่า หุ้นบมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA)จะเป็นหุ้นที่มีกำไรสุทธิปรับตัวขึ้นสวนตลาดตลอดปีนี้ จึงได้แนะนำให้ทยอยซื้อสะสม เนื่องจากปี2564 จะยังเป็นปีที่ดี ซึ่งบริษัทฯจะมีผลกำไรที่คาดจะเติบโตสู้กับความกังวลของสถานการณ์ COVID-19 เพราะความต้องการเหล็กนวัตกรรม Pre Zinc กำลังเข้าไปทดแทนท่อเหล็กดำแบบเก่าอย่างชัดเจน
ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กในตอนนี้เป็น"ตลาดของผู้ขาย" โดยได้รับแรงผลักดันจากงานภาครัฐที่มีการเดินหน้าการลงทุน ,การออกมาตรการอสังหาฯเพื่อกระตุ้นความสนใจโดยการเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจของจีน-สหรัฐฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น โดยการแสดงให้เห็นผ่านดัชนีPMI ของภาคการผลิต และราคาเหล็กรีดร้อนในเอเชียที่ปรับตัวขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ดังนั้นทำให้เชื่อว่า ZIGA จะสามารถรักษาอัตรากำไรที่ดีได้ต่อไป รวมถึงการที่เหล็ก Pre-Zinc กำลังเป็นเสมือนธุรกิจ New economy ในการเข้าไปทดแทนท่อเหล็กดำแบบเดิมในตลาดขนาดใหญ่ ดังนั้นการเป็นสินค้าทดแทนที่มีคุณสมบัติสูงกว่ามีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า
ขณะเดียวกัน ยังมีช่องว่างทางการตลาดที่ZIGA มีโอกาสจะเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดของท่อเหล็ก ซึ่งมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 6 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงทำให้คาดว่า ในปี 2564 บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ 169 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 43.6%จากปีก่อน และเป็นระดับกำไรสุทธิที่สูงสุด นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยมีประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24%ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 1 เท่าตัว จากการปรับปรุงการผลิต,มีกำลังผลิตใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส1/2564 คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับสูงถึง 252.8%
ขณะที่ZIGA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% จากการต่อยอดในธุรกิจเหล็กไปสู่ค้าปลีกรายย่อย และตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยวางแผนจะขยายแฟรนไชส์ และOutlet ให้ครบ 60สาขา จากปัจจุบันเปิดไปแล้ว 4 สาขาเพื่อขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มธุรกิจใหม่เป็น Smart Farm ที่มี AI ควบคุมการผลิต เพื่อสร้างโรงเรือนให้กับการเพาะปลูกกัญชง
อย่างไรก็ตาม ZIGA มีการเติบโตที่แข็งแกร่งเหนือกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และทางฝ่ายวิจัยใช้ค่าเฉลี่ย PE ของกลุ่มเหล็กอยู่ที่ระดับ 21.7 เท่า เป็นจุดอ้างอิง และรวม Dilution effect ของ ZIGA-W1 แปลงครั้งแรกในเดือนกันยายน 2564 เข้าไปคำนวณด้วยจะได้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 7.15 บาทต่อหุ้น สะท้อนPEG เพียง 0.5 เท่า มี Dividend yield อยู่ที่ 3.8%
ทั้งนี้มูลค่าดังกล่าว ฝ่ายวิจัยยังไม่รวมกับในธุรกิจ Smart farm และ การทำ Franchise Outlet ซึ่งทั้ง 2 ประเด็น ล้วนเป็นโอกาสของการปรับประมาณการขึ้นได้อีก โดยเฉพาะการที่บริษัทฯเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ บริษัท Plant Technology ซึ่งเป็นผู้ถือใบอนุญาตนำเข้าเมล็ดกัญชง 1 ใน 7 ใบจากอย. ซึ่งมีเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้พร้อมปลูกกว่า 13,000 ไร่ ซึ่งหากธุรกิจผลิตและจำหน่ายโรงเรือนปลูกกัญชงระบบปิดเดินหน้าได้ตามเป้า 500ไร่ในปีแรก upsideนี้ จะมีผลต่อกำไรส่วนเพิ่มถึง 43%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้ประมาณการราคาเป้าหมายของ ZIGA-W1 ด้วยแบบจำลอง Black-Scholes Model ด้วยข้อสมมุติฐานราคาหุ้นแม่อยู่ในกรอบ 6-7 บาทต่อหุ้น Risk-free เท่ากับ 2.9% และความผันผวนของราคาหุ้นแม่(รายปี) เท่ากับ 55.33% (ยังไม่นับรวม Dividend yield ที่ระดับ 3.6%) จะได้ราคาZIGA-W1 อยู่ในกรอบ 5.06-6.06 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ ZIGA ได้จัดสรร ZIGA-W1 จำนวน 242.5 ล้านหน่วย แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 2.05 หุ้นสามัญต่อ 1 สิทธิ โดยมีราคาใช้สิทธิ 1 บาทต่อหุ้น (พาร์ 0.50 บาทต่อหุ้น) มีระยะเวลาใช้สิทธิไม่เกิน 2 ปี ทุกๆ สิ้นเดือนมีนาคมและกันยายน ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา