"ทรีนีตี้ วัฒนา" เปิด 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ ในโอกาสก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ใช้ความเป็น Holding Company รุกขยายการลงทุนเต็มรูปแบบ หวังกระจายโครงสร้างรายได้ให้หลากหลาย รองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และเติบโตได้อย่างยั่งยืน มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าและผู้ถือหุ้นที่ดีกว่าตลาด
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. ทรีนีตี้ วัฒนา หรือ TNITY เปิดเผยถึงทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มบริษัทในโอกาสครบรอบ 20 ปี หรือ 2 ทศวรรษและก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ว่า ทรีนีตี้ วัฒนา จะใช้สถานะความเป็น Holding Company ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพราะมีความยืดหยุ่น และความคล่องตัวมากกว่า โดยจะเดินหน้าขยายธุรกิจและการลงทุนในด้านต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับโครงสร้างรายได้ของบริษัท โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้หลักจากธุรกิจหลักทรัพย์ หรือธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับกิจการ และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ขณะเดียวกันยังคงมุ่งมั่นหาผลิตภัณฑ์และช่องทางการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดให้กับนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของทรีนีตี้ อีกด้วย
ในการก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา จะใช้ 4 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ดังนี้
ยังต่างประเทศผ่านพันธมิตรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ได้แก่ การลงทุนในหุ้นของประเทศในเอเชีย (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ผ่านกองทุนส่วนบุคคล Trinity Asian Private Fund (ex Japan) ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นปีที่ 2 ขึ้นปีที่ 3 และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเกินความคาดหมายของนักลงทุน โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนกว่า 41% ในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา และการลงทุนในหุ้นประเทศเวียดนามผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการชั้นนำของเวียดนาม เสมือนนักลงทุนเวียดนามลงทุนเอง ทำให้การลงทุนมีต้นทุนที่ถูกลงไม่ต้องเสียค่า Premium กรณีเป็นนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนเวียดนาม SSI-SCA นี้ ได้ผลตอบแทนตั้งแต่ลงทุน 42.2% (เริ่มลงทุน 18 มิถุนายน 2562) ซึ่งชนะตลาดมาโดยตลอด
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์เหล่านี้ จะทำให้บริษัทมีโครงสร้างรายได้ที่มีการกระจายตัว จากธุรกิจที่มีความหลากหลาย ไม่ต้องพึ่งธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นหลัก โดยปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ซึ่งมีบริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 99.99% มีรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ประมาณ 35% รายได้จากเงินลงทุนประมาณ 20% รายได้จากดอกเบี้ย (จากการปล่อยสินเชื่อ มาร์จิ้นโลน) 27% รายได้จากค่าธรรมเนียม รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน และรายได้อื่นๆ ประมาณ 18% ซึ่งการที่มีรายได้ที่กระจายจากหลากหลายธุรกิจจะช่วยเสริมฐานรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญแก่การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไป เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะช่วยพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนให้ก้าวหน้าก้าวไกล
สำหรับผลงานของบริษัทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าบริษัทได้เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การเป็นที่ปรึกษาในการเข้าระดมทุนของธุรกิจเพื่อนำไปขยายการลงทุน และสร้างการเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจ และตอกย้ำด้วยการได้รับรางวัลยอดเยี่ยม Deal of the Year ด้านการระดมทุน ในงาน SET Awards 2020 จากการที่บริษัท เข้าไปเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ให้กับ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) จำนวนรวม 1,765 ล้านหุ้น ซึ่งได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค 2562 และการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการให้ประชาชนและนักลงทุนมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นผ่านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ