บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด มหาชน (AWC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เผยผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 1,109 ล้านบาท และขาดทุน 594 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอก 2 และช่วงเริ่มต้นของระลอก 3 ของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)
แต่อย่างไรก็ดี ผลประกอบการโดยรวมของไตรมาสแรกในปี 2564 นั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สองของปี 2563 โดยบริษัทสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าไตรมาส 2/2563 ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตการณ์ COVID-19
"สถานการณ์ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ในทุกภาคส่วนในประเทศไทยและทั่วโลก แต่ AWC ได้ปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้บริษัทสามารถควบคุมสถานการณ์และสามารถสร้าง EBITDA จากการดำเนินธุรกิจให้เป็นบวกตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา" นางวัลลภาไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
AWC ได้เตรียมความพร้อมด้านทรัพยากร และเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ภายในองค์กร โดยพร้อมสนับสนุนแผนการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาสู่สภาวะปกติและเติบโตอย่างต่อเนื่องภายหลังจากที่เราสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาด้วยารฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ทรัพย์สินที่ดำเนินการปกติของบริษัทเป็นทรัพย์สินที่มีคุณภาพ ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมมี RGI Index ที่สูง โดยภาพรวมของธุรกิจโรงแรมมี RGI Index เท่ากับ 124.4 โรงแรม ภูเก็ต แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา, ในยางบีช และ โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ มีค่า RGI Index ที่สูงที่สุด เท่ากับ 363.4 และ 324.3 ตามลำดับ บริษัทเชื่อมั่นในความร่วมมือกับพันธมิตรเครือข่ายโรงแรมระดับโลกที่พร้อมนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพักและใช้บริการในโรงแรมของกลุ่ม AWC เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติ
ในส่วนของธุรกิจศูนย์การค้าของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่จะกลับมาอยู่ในระดับดำเนินงานปกติ และสำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานของบริษัทเป็นอาคารเกรด A ในย่านธุรกิจ (CBD) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ดี
บริษัทมี 4 โครงการที่ได้เปิดดำเนินการเพิ่มเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา โดยจัดเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงดำเนินงานเริ่มต้นของบริษัทประกอบด้วย โรงแรมมีเลีย เกาะสมุย, เรือสิริมหรรณพ, โครงการลาซาล อเวนิว เฟส 2 และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ โดยทั้ง 4 โครงการดังกล่าว ได้เริ่มสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัท และยังสามารถสร้างผลประกอบการได้สูงกว่าตลาด ดังเช่น โรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่มี RGI Index สูงถึง 213.5
ในด้านการบริหารงาน บริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรควบคู่กับการควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด (Cost Control and Efficiency Initiatives) เพื่อให้การใช้จ่ายมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยในไตรมาส 1/2564 บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ที่ร้อยละ 39.5 และร้อยละ 26.5 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรวมลดลงร้อยละ 30.3 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรวมแล้วทำให้โครงสร้างค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพขึ้น และจะทำให้อัตราส่วนอิบิทดาต่อรายได้ (EBITDA Margin) สูงขึ้น
บริษัทยังได้เล็งเห็นถึงโอกาสของทรัพย์สินคุณภาพที่ดำเนินงานในปัจจุบัน รวมทั้งโครงการในอนาคตที่ได้ทำสัญญาจะซื้อทรัพย์สินเข้ามาสร้างกระแสเงินสด โดยโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาอีกหลายโครงการที่สามารถเพิ่มการเติบโตให้แก่บริษัทได้อย่างยั่งยืนในอนาคต สำหรับแผนการเติบโตในระยะยาว บริษัทยังเล็งเห็นโอกาสการลงทุนทั้งจากสัญญาให้สิทธิ (ROFO/ROFR) ของกลุ่ม TCC และบุคคลภายนอก ที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ AWC ในอนาคต
"เราเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือได้ว่ายังมีศักยภาพที่แข็งแกร่งในระยะยาว เมื่อสถานการณ์คลี่คลายและนักท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาเยือนประเทศไทย รวมทั้งลูกค้าที่จะกลับมาใช้บริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ AWC ได้เตรียมความพร้อมของสินทรัพย์คุณภาพทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ที่จะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต" นางวัลลภา กล่าวเพิ่มเติม