บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ทำผลงานไตรมาส 1/2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิทุบสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 10,051.6 ล้านบาท เติบโต 2,245% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 15,433.7 ล้านบาท เติบโต 308.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากดีมานด์ทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงหนุนราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.50 บาทต่อหุ้น ชี้แนวโน้มดีมานด์ถุงมือยางในปีนี้ยังแข็งแกร่งจากซัพพลายทั่วโลกที่ยังขาดแคลน รวมถึงหลายประเทศยังเผชิญการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรค COVID-19 คาดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกเติบโตได้ดีจากการเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ยังคงเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 10,051.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,245% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นการทำกำไรสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 15,433.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ที่เติบโตได้ดีนั้น มาจากความต้องการใช้ถุงมือยางจากทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.30 บาทต่อชิ้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเร่งส่งมอบสินค้าตามแผนงานที่วางไว้
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,286 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 เดือนพฤษภาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2564
กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวว่า บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าปัจจุบันมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในหลายประเทศ อย่างไรก็ตามมีหลายประเทศที่ยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 - 3 - 4 และเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ ส่งผลให้ถุงมือยางยังคงเป็นสินค้าที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆ และกลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุค New Normal เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากโรค COVID-19 ขณะที่ซัพพลายทั่วโลกในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยประเมินแนวโน้มดีมานด์ถุงมือยางจากทั่วโลกในปีนี้จะอยู่ที่ 4.2 แสนล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี จากแผนงานขยายกำลังการผลิต โดยจะได้รับผลดีจากการกลับมาเดินเครื่องจักรโรงงาน SR2 เต็มกำลังการผลิต และการเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่ SR3 ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีในช่วงไตรมาส 2/2564 รวมถึงแผนงานเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา 1 แห่ง ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ และในจังหวัดตรังอีก 1 แห่งในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้