LPH ประกาศงบไตรมาสแรกปี 64 รายได้รวมโตอยู่ที่ 479.99 ลบ. เพิ่มขึ้น 13% มีกำไร 40.39 ลบ. "ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช" แม่ทัพใหญ่ ยืนยันเป้ารายปี 2564 เติบโต 15-20% ได้ตามแผน ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 หลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบแต่อย่างใด เผยปัจจุบัน LPH มีฐานผู้ป่วยประกันสังคมรวม 165,000 ราย เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 ที่มีฐานผู้ป่วยประกันสังคม 161,000 ราย หลังรับโควตาผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่ม 10,000 ราย คาดหนุนรายได้ขยายตัวถึง 5% จากฐานเดิม สำหรับการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ทาง LPH ได้จัดเตรียมจำนวนเตียงรองรับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิค-19 จำนวน 50 เตียง โดยผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิค-19 ที่อาการไม่รุนแรงต้องรอการบริหารจัดการเตียงต่อไป ล่าสุด LPH ติดต่อโรงแรมขนาดเล็กในพื้นที่ลาดพร้าว จัดทำเป็น Hospitel รองรับขนาด 50 เตียง ขณะที่จำนวนผู้ขอคัดกรองโควิด-19 วันละไม่ต่ำกว่า 100 คน
ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2564) มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 40.39 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 42.84 ล้านบาท ลดลง 2.45 ล้านบาท หรือลดลง 5.72% โดยมีรายได้รวม 479.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 55.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.96 % โดยมีรายได้จากการรักษาพยาบาล 410.18 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11.09 % จากการขยายการบริการตรวจสุขภาพ ทำให้ในด้านผู้ป่วยทั่วไปเพิ่มขึ้น 4.43% และรายรับค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น 11.09.% เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับรักษาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศระลอกที่ 2-3 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 10% ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยโควิด-19 เดินทางเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลจนเตียงพักผู้ป่วยไม่เพียงพอต่อการให้บริการ
ขณะที่คาดว่าในช่วงปลายไตรมาส 3/2564 จะเริ่มนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสั่งซื้อผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและองค์การเภสัชกรรม เป็นทางเลือกให้กับประชาชนในกรณีที่ไม่ต้องการรอวัคซีนของรัฐบาล แต่ต้องการฉีดและพร้อมจะจ่ายเงินเองได้ โดยเฉพาะฐานลูกค้าสถานประกอบการขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานกว่า 1 แสนคน และกลุ่มสมาชิกโรงพยาบาล 1 หมื่นคน
"การเจรจาซื้อวัคซีนเป็นไปตามขั้นตอนหรือระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้ ซึ่งเบื้องต้นจองไว้ราว 1 แสนโดส โดยคาดจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 2-3/64 โดยโรงพยาบาลไม่ได้ขายวัคซีนเพื่อเอากำไร แต่มาช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ" ดร.อังกูรกล่าว
ปัจจุบัน LPH มีฐานผู้ป่วยประกันสังคมรวม 165,000 ราย เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 ที่มีฐานผู้ป่วยประกันสังคม 161,000 ราย แต่ขณะนี้ได้รับเพิ่มมาอีก 5,000 ราย จากสิทธิ์โควตาผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่ม 10,000 ราย แต่ขณะนี้ได้รับเพิ่มมา 5,000 คน ซึ่งมีความมั่นใจว่าโควตาที่เหลือจะมีผู้ป่วยประกันสังคมเข้าระบบทั้งหมดภายในปี 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ฐานผู้ป่วยประกันสังคมแตะ 170,000 ราย เบื้องต้นคาดรายได้ขยายตัวถึง 5% จากฐานเดิม
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ป่วยชำระเงินสดเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น และเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วซึ่งมีการล็อคดาวน์ สำหรับการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ทาง LPH ได้จัดเตรียมจำนวนเตียงรองรับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิค-19 จำนวน 50 เตียง โดยผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิค-19 ที่อาการไม่รุนแรงต้องรอการบริหารจัดการเตียงต่อไป ล่าสุด LPH ติดต่อโรงแรมขนาดเล็กในพื้นที่ลาดพร้าว จัดทำเป็น Hospitel รองรับขนาด 50 เตียง ขณะที่จำนวนผู้ขอคัดกรองโควิด-19 วันละไม่ต่ำกว่า 100 คน
ส่วนบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ ทดสอบ และวิจัยด้านอาหาร ผลิตผลการเกษตรและยา ภายใต้บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (AMARC) ยังคงดำเนินกิจการไปได้ค่อนข้างดี
ขณะที่ธุรกิจสนับสนุนการให้บริการทางการแพทย์และการพัฒนาธุรกิจ ดำเนินการภายใต้บริษัท ศูนย์บริหารจัดการธุรกิจแห่งเอเซีย จำกัด (ABMC) ซึ่งให้บริการทั้งในและนอกสถานที่ ปัจจุบันขยายตัวได้ดี ทำให้มั่นใจว่าในปี 2564 จะมีรายได้รวมเติบโต 15-20% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 1,814.63 ล้านบาท สอดคล้องกับปัจจัยบวกของธุรกิจต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น
ด้านความคืบหน้าการเจรจากับพันธมิตร เพื่อเข้าไปลงทุนในโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดย่านปริมณฑล 1 ราย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่มีกำไรที่ดี โดยปัจจุบันได้กำหนดพิจารณาเรื่องราคา และการเข้าลงทุนเลื่อนไปเป็นช่วงเดือนมิถุนายน 2564 เนื่องจากมีปัญหาด้านเอกสารของโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่ง LPH ได้ให้ทางบริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการในการตรวจสอบ หากได้ราคาที่เหมาะสม คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 800 ล้านบาท