TMILLโชว์ไตรมาสแรกปีนี้ กำไรโตเกือบ 8% เหตุรายได้จากการขายแป้งสาลี-รำข้าวแป้งสาลี หนุน ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 4.99% และ 1.4% แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาลีเฉลี่ยลดลง 2.19% ส่วนราคาจำหน่ายรำข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17.29%
นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ด้วยกำไรสุทธิ 46.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.99% เมื่อเปรียบเทียบ กับไตรมาส 1/2563 ที่มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 43.43 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/2564สูงขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในไตรมาส 1/2564 นี้ถูกกว่าไตรมาส 1/2563 เล็กน้อย
ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 2.4% และรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 2.5% ทั้งนี้ ปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 4.9% และ 1.4% แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาลีเฉลี่ยลดลง 2.1% ส่วนราคาจำหน่ายรำข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17.2%
สำหรับไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 79.69% เพิ่มขึ้น 3.22% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้น 3.98 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าขนส่งสินค้า เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงานขายที่เพิ่มขึ้น และค่าซ่อมแซมอาคารสถานที่
"บริษัทฯมีกำไรจากสัญญาอนุพันธ์ 10.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.33 ล้านบาท คิดเป็น 488.2% เทียบกับปีก่อน มีกำไรจากสัญญาอนุพันธ์ 1.70 ล้านบาท"นางแววตา กล่าว
นางแววตา กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19 ) ยังมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ แต่บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าทุกกระบวนการผลิต จนได้แป้งสาลีที่มีคุณภาพ ตามมาตรฐานสากล สามารถรองรับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่ใช้ในการผลิต ผลิตภัณฑ์ เบเกอรี่ และอาหารหลากหลายชนิด ควบคู่ไปกับการการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในปี 2563 บริษัทฯ จ่ายปันผล 2 ครั้ง โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท และจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท รวมเงินปันผลที่จ่ายทั้ง 2 ครั้ง ประจำปี 2563 บริษัทฯ จ่ายปันผลเท่ากับ 0.20 บาทต่อหุ้น