บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) เชียร์ซื้อหุ้น STARK ให้ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท/หุ้น เนื่องจากคว้างานใหม่ต่อเนื่อง หนุน Backlog สะสมเพิ่มเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท จาก 8.4 พันล้านบาท คาดมีโอกาสชนะงานใหม่เพิ่มอีก 70% จากงานที่ยื่นประมูลไปแล้วกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ช่วยหนุนให้งานในมือเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ระบุมีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งจากงานภาคโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานแนวโน้มดี จะช่วยผลักดันรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ประเมินในปี 64-66 รายได้เติบโตเฉลี่ย 34%ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) เผยแพร่บทวิเคราะห์ หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSTARK โดยมีคำแนะนำ OUTPERFORM หรือเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 6.50 บาทต่อหุ้น โดย STARK ได้เปิดเผย Backlog เพิ่มเติมของบริษัทในช่วงที่ผ่านมามูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.65 พันล้านบาท คิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาท/ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมูลค่างาน 50 ล้านดอลลาร์ มาจากงานในประเทศเวียดนาม และ 100 ล้านดอลลาร์มาจากในไทย ซึ่งทำให้มี Backlog สะสมเพิ่มขึ้นจากระดับ 8.4 พันล้านบาท มาเป็น 1.31 หมื่นล้านบาท และยังได้รายงานจำนวนสัญญาที่ได้ยื่นรอผลการประมูลอีกมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นงานในไทยและเวียดนาม
ทั้งนี้ ตามบทวิเคราะห์ STARK มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติไตรมาส 1/2564 ที่ 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 235% ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า และคิดเป็น 21% ของประมาณการปีนี้ทั้งปี โดยผลการดำเนินงานนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ จากการพิจารณาจากการที่ปกติแล้วไตรมาสที่ 1 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการอ่อนแอที่สุดของปี และล่าสุดบริษัทมีมูลค่า backlog มากขึ้น ซึ่งในมุมมองของฝ่ายวิจัย แสดงให้เห็นถึงแรงส่งของการเพิ่มขึ้นของแนวโน้มรายได้สำหรับไตรมาสถัดไป
พร้อมกันนี้ ตามบทวิเคราะห์บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และคิดเป็น 24% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งฝ่ายวิจัยพอใจกับแนวโน้มรายได้ที่ได้รับแรงผลักดันจากผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จินสูง โดยเฉพาะสายไฟฟ้าแรงด้านปานกลางถึงสูงมาก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงไฟฟ้า สายส่งและจ่ายกำลังไฟฟ้า และโครงการขนส่งมวลชน
ส่วนอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ในไตรมาส 1/2564 ทำได้ที่ 16.7% เพิ่มขึ้นจาก 15.6% ในไตรมาส 4/2563 และเปรียบเทียบกับที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2564 ที่ 17% เห็นได้ชัดว่าบริษัทสามารถส่งผ่านราคาวัตถุดิบ (ทองแดงและอลูมิเนียม) ที่ขยับสูงขึ้นไม่น่ามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ EBITDA Margin เนื่องด้วยกลยุทธ์การส่งผ่านราคา(Pass Through)ให้ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง EBITDA ในไตรมาสที่ 1 /2564 คิดเป็น 23% ของการประมาณการทั้งปี
นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสการปรับขึ้นของอัตรากำไรนี้ในอนาคต ซึ่งหลักๆมากจากการดำเนินงานในเวียดนาม โดยการดำเนินงานยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งจากภาคโครงสร้างพื้นฐาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมพลังงาน) จะผลักดันให้รายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และการคาดการณ์หมายถึงการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 34% ต่อปี ในช่วงปี 64-66 ดังนั้นอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาสำหรับการดำเนินงานในเวียดนามน่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นในปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงให้คำแนะนำ OUTPERFORM หุ้น STARK จากศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ในภาคโครงที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนาม