เทพหุ้นจาก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เชียร์ "ซื้อ" หุ้นบมจ.เอกชัยการแพทย์( EKH) ประเมินผลงานไตรมาส 2/64 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมปรับเพิ่มเป้ากำไรสุทธิปี 64-65 ขึ้นอีก 11.6% และ 8.6% รับอานิสงส์โควิด-19 ระบาดรอบใหม่ หนุนผู้ป่วยเข้าใช้บริการเพิ่มเต็มสูบ และสามารถคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชี้เป้าราคาพื้นฐานอยู่ที่ 7.20 บาท ด้าน "นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร" คาดกระแสโควิด-19 ดันผลงานไตรมาส2 ทะยานต่อ มั่นใจหนุนรายได้ปี 64 เติบโตไม่ต่ำกว่า20% จากงวดเดียวกันปีก่อน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH โดยประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 คาดว่ามีแนวโน้มโดดเด่น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในเดือนเมษายน 2564 ทำให้คาดว่ากำไรของ EKH จะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากงวดเดียวกันปีก่อน และไตรมาส1/2564 เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้นอีก 11.6% และ 8.6% ตามลำดับ เนื่องจากฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของรายได้จากงวดเดียวกันปีก่อน ในปี 2564-65 ขึ้นอีกจากเดิมอีก 1.1% และ ปรับลดสมมติฐานสัดส่วน SG&A/รายได้ ลงเหลือ 20.0 (จากเดิม 22%) สำหรับปี 2564-65
ขณะที่ฝ่ายวิจัยยังปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2564 เป็น 36.5% (จากเดิม 36.2) เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นที่จะได้ผลบวกจากการประหยัดต่อขนาดของบริการตรวจโควิด-19 ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรสุทธิของ EKH ในปี 2564 จะอยู่ที่ 125 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น73.1%จากงวดเดียวกันปีก่อน)และในปี 2565 จะอยู่ที่ 154 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23.3%จากงวดเดียวกันปีก่อน)
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของ EKH ยังมีแนวโน้มที่ดีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วไตรมาส2/2563 ทั้งนี้เมื่ออิงตามประมาณการใหม่ ทางฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ ซื้อ และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565 ที่ 7.20 บาท (WAC ที่ 9%,TG ที่ 3% ) จากเดิม 6.20 บาท (อิงประมาณการปี 2564)
ด้านนายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการและผู้อำนวยการโรงพยาบาล บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH) กล่าวถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ของกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 33.46 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 215.24 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น จากจำนวนผู้ป่วยนอก(OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 และรายได้จากการตรวจโควิด ประกอบกับจำนวนมีผู้เข้ารับการรักษาโควิดเพิ่มขึ้น จนเกือบเต็มเช่นเดียวกับผู้ป่วย IPD และผู้ป่วย OPD จึงช่วยสนับสนุนให้รายได้และกำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และเชื่อมั่นว่าจะทำให้รายได้ปี 2564 เติบโตไม่ต่ำกว่า20% จากงวดเดียวกันปีก่อน