กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--สนพ.
มธ. พบ “10 พฤติกรรมประหยัดไฟฟ้ายอดนิยม” ระบุสาเหตุสำคัญที่ผู้ใช้ไฟ ได้รับส่วนลดจากโครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ เกิดจากความตั้งใจและพยายามที่จะประหยัดไฟ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงผลการประเมินโครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 โดย สนพ. ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการสำรวจพฤติกรรมประชาชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค รวม 3,000 ตัวอย่าง พบว่า มีกลุ่มตัวอย่างได้รับส่วนลดจากโครงการฯ ถึง 31% โดย 78% ของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับส่วนลดค่าไฟระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ได้รับส่วนลด เกิดจากความตั้งใจและพยายามที่จะประหยัดไฟ นอกจากนี้ แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างคิดประหยัดไฟในครัวเรือน คือ 47% ระบุว่าเพื่อลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 30% ระบุว่าต้องการช่วยชาติประหยัดพลังงาน และ 23% ระบุว่าได้รับการกระตุ้นจากการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดแรงจูงใจ
นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบวิธีการประหยัดไฟฟ้าที่ได้ผลที่สุด และทำให้ได้ส่วนลดในโครงการฯ 10 วิธี ได้แก่
ปิดไฟที่ไม่จำเป็น และเปลี่ยนหลอดไฟเป็นแบบตะเกียบ
เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ใช้พัดลมแทนแอร์ และล้างแอร์เป็นประจำ
ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมายประหยัดไฟเบอร์ 5
ดูโทรทัศน์รวมกัน และไม่เปิดทิ้งไว้เมื่อไม่มีคนดู
ไม่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
ลดการใช้น้ำอุ่น
ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทันทีเมื่อเลิกใช้งาน
รีดผ้าครั้งละมากๆ และตากผ้าแทนการอบผ้า
ใช้ก๊าซหุงต้มแทนเตาไมโครเวฟ
ปลูกต้นไม้ช่วยลดความร้อน
“จากตัวเลขผลสำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า จะเห็นได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่เริ่มเห็นความสำคัญของการประหยัดไฟฟ้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับข่าวจากการประชาสัมพันธ์โครงการ หรือต้องการลดค่าครองชีพของตนเองก็ตาม ซึ่งนับว่าการรณรงค์ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เริ่มประหยัดพลังงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทาง สนพ. จะเร่งรณรงค์ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าว เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติให้ติดเป็นนิสัยต่อไป” นายเมตตากล่าว
สำหรับผลการรณรงค์โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ 8 เดือน ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2547 — ม.ค. 2548 มีประชาชนได้รับส่วนลดจากโครงการฯ ดังนี้ ครัวเรือนที่ประหยัดได้ 4.3 ล้านครัวเรือน หน่วยไฟฟ้าที่ประหยัดได้ 2,360 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 7,338 ล้านบาท--จบ--