CCP มองทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 64 ยังคงมีความต้องการดี คาดรับผลกระทบไม่มาก จากมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง ลุยชิงงานเมกะโปรเจคทั่วประเทศ เดินหน้าขยายฐานลูกค้าผู้รับเหมา รักษาแบ็คล็อค 1,800 ล้านบาท หนุนรายได้เติบโตตามเป้าหมาย 2,600 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า จากที่ภาครัฐออกมาตรการสั่งปิดแคมป์และหยุดงานก่อสร้าง ห้ามการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงาน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและ 4 จังหวัดภาคใต้ ระยะเวลา 30 วัน เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่มาก และมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากปริมาณงานของบริษัทมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีปริมาณงานส่วนน้อย เมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ภูมิภาคต่างๆ 50% ภาคตะวันออก 30% กรุงเทพฯและปริมณฑล 20% อีกทั้งคาดว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หลังภาครัฐมีมาตรการผ่อนปรนให้ดำเนินการก่อสร้างได้ตามปกติ ผู้ประกอบการเร่งส่งมอบงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลาที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม มองว่าทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตดี
โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต จากแผนงานยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเน้นงาน โครงการเมกะโปรเจคทั่วประเทศ งานโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบิน โครงการท่าเรือ โครงการมอเตอร์เวย์ งานถนน ภาคเอกชน อาทิ นิคมอุตสาหกรรม
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า กลุ่มผู้รับเหมา ที่มีความต้องการใช้งานคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่องานก่อสร้าง Land Scape ทั่วประเทศ พร้อมทั้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ที่ช่วยแก้ปัญหา งานก่อสร้าง ขาดแคลนแรงงาน ลดต้นทุน ทำให้งานเสร็จรวดเร็ว อาทิ กลุ่มบล็อกกำแพง บล็อกกันหน้าดิน บล็อกปูพื้น เพื่อรองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน เมกะโปรเจกค งานกรมทางหลวง งาน Landscape
รวมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและ เดินหน้าเข้าประมูลงานโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท ผลักดันรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,600 ล้านบาท