ASIAN แย้มภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อัตรากำไรขั้นต้นสวย เป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทฯ วางไว้ สะท้อนแผนการรุกตลาดประสบความสำเร็จ ชี้ทิศทางครึ่งหลังปี 2564 ยอดขายดีต่อเนื่อง ความต้องการผู้บริโภคกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง ยังขยายตัว แม้ว่าปัญหาโควิดและตู้คอนเทนเนอร์ยังยืดเยื้อ เล็งอัพกำลังผลิตเสริมแกร่ง มั่นใจรายได้รวมปีนี้โต 10% เข้าเป้า ขณะที่บาทอ่อนหนุนอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าเป้า ด้านโบรกฯ ฟันธงทิศทางการเติบโตครึ่งปีหลังยังสดใส เชียร์ "ซื้อ" โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิ และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายกลางปี 2564 ขึ้นเป็น 18.7 บาท จาก 17.0 บาท
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2564 บริษัทฯ มองว่ายอดขายยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างดี ทั้งในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับความต้องการผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น และกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้ในปัจจุบันกลุ่มลูกค้ายังคงมีการส่งคำซื้อให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในโซนเอเชียและยุโรป อีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกที่ 2 และ 3 แต่บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมความปลอดภัยและปลอดเชื้อภายในโรงงานได้เป็นอย่างดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่มากกว่า 75% ของยอดขายรวม โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่เยือกแข็งโดยเฉพาะประเภทอาหารพร้อมปรุง-พร้อมทาน ขณะที่ค่าเงินปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกจากปัจจัยดังกล่าวทำให้อัตรากำลังการผลิตที่ใกล้เต็มประสิทธิภาพในบางไลน์ผลิต ทำให้บริษัทวางแผนลงทุนปี 2564 ที่ 400 ล้านบาท รองรับการขยายกำลังการผลิตทั้งส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่เยือกแข็ง โดยเฉพาะอาหารพร้อมปรุงพร้อมทานประเภททอด จะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงไตรมาส 3/2564 ในขณะที่ไลน์การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะ COD ได้ต้นปี 2565
"แม้ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออก บริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์และบริหารจัดการภายใน เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าตามเป้าหมาย ซึ่งในครึ่งปีแรก อัตรากำไรของเรายังอยู่ในระดับที่ดี มีโอกาสสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 14-15% ปัจจัยผลักดันหลักๆ เป็นผลมาจากคำสั่งซื้อจากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารอาหารแช่เยือกแข็ง โดยเฉพาะประเภทอาหารพร้อมปรุงพร้อมทาน ในตอนนี้บริษัทฯ มีออเดอร์ล่วงหน้าถึงไตรมาส 3 ทำให้อัตรากำลังการผลิตเต็มไปจนถึง 1-2 เดือนข้างหน้า" นายเอกกมล กล่าว
บริษัทฯ เตรียมพิจารณาปรับประมาณการรายได้รวมปี 2564 โดยคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% หรือมีรายได้รวมแตะ 9,500 ล้านบาท โดยที่ยอดขายและอัตรากำไรกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารพร้อมปรุงแช่เยือกแข็งคาดว่าดีกว่าเป้า ในขณะที่กลุ่มทูน่าและอาหารสัตว์น้ำมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งอาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าเป้าเดิมที่ประมาณไว้ที่ 14-15%
โดยล่าสุด ASIAN ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบบริษัทจดทะเบียนที่น่าลงทุนตามเกณฑ์ประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) กลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 จากสถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG rating ได้ทำการคัดเลือก 100 หลักทรัพย์ ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2564 เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการคำนวณดัชนี อีเอสจี ไทยพัฒน์ หรือ Thaipat ESG index สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (benchmark index) และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนแก่บริษัทจัดการลงทุนที่มีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนในธีม ESG
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ASIAN ว่าทิศทางการเติบโตยังสดใส โดยคาดว่าทิศทางธุรกิจของ ASIAN จะยังเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หนุนจากอุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลแช่แข็งแบบ pre-fried ที่แข็งแกร่งและเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา
คาดว่ากำไรสุทธิ Q2/64 จะอยู่ที่ 251 ล้านบาท (-16.5% YoY และ +16.6% QoQ) และคาดว่า GPM Q2/64 จะขยายตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.2% จาก 16.9% ใน Q1/64 ประมาณการกำไรสุทธิช่วงครึ่งแรกของปี 64 อยู่ที่ 465 ล้านบาท (+15% YoY) และคิดเป็นสัดส่วน 50% ของประมาณการกำไรปี 64 แนะนำ "ซื้อ" หลังปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิ จึงปรับเพิ่มราคาเป้าหมายกลางปี 2564 ขึ้นเป็น 18.7 บาท จาก 17.0 บาท อิงจาก EPS เฉลี่ยปี 2565-66 ที่ 14.7 เท่า หรือ 1.0SD มากกว่า PER ล่วงหน้าเฉลี่ยในอดีต