เมื่อเร็วๆนี้ นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังประสบภาวะวิกฤตหนักรอบด้าน จากสภาพภูมิอากาศ ภัยภิบัติ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อโลกไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เครือซีพีในฐานะองค์กรภาคเอกชนจึงได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืน ผนึกกำลังร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนควบคู่กับการดำเนินงาน โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่เครือฯ เล็งเห็นความสำคัญมาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างป่า สร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยการส่งเสริมอาชีพปลูกไม้ป่าควบคู่กับไม้เศรษฐกิจในพื้นที่นำร่อง เช่น การปลูกกาแฟ ไผ่ และพืชมูลค่าสูง เติมเต็มพื้นที่ป่าและต่อยอดสู่การหมุนเวียนรายได้ เกิดการขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชน ยกระดับสู่วิสาหกิจชุมชน เสริมความเข้มแข็งให้กับชาวบ้านได้พึ่งพาตนเอง จนเป็นต้นแบบในการเรียนรู้และพัฒนาเกษตรกร ในการรักษาฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พร้อมการสร้างสำนึกรักบ้านเกิดและพื้นที่ทำกิน
"ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเครือซีพีได้ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา ในพื้นที่ทางภาคเหนือ ร่วมปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 686,330 ต้น จำนวน 7,853 ไร่ และในปีนี้ จะมีการปลูกต้นไม้ในปี 2564 อีกจำนวน 100,000 ต้น บนพื้นที่ ต้นน้ำปิง บ้านแม่วาก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ , ต้นน้ำวัง บ้านเลาสู อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง , ต้นน้ำยม บ้านดอนไชยป่าแขม อ.ปง จ.พะเยา ต้นน้ำน่าน บ้านสบขุ่น อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยมี 4 พื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นเป้าหมายหลักสำคัญ"
นายจอมกิตติกล่าวว่า โครงการสบขุ่นโมเดล ที่เครือซีพีได้สนับสนุนโดยการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ชาวบ้าน ด้วยการปลูกกาแฟและพืชผสมผสาน เพื่อลดพื้นที่ป่าที่ต้องถูกทำลายจากการทำไร่เลื่อนลอย เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปกป้องฟื้นฟูระบบนิเวศ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ที่ทำให้โครงการนี้ผ่านการรับรองตามมาตรฐานและได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือ LESS (Low Emission Support Scheme) จากการส่งเสริมโครงการฯ สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ จากพื้นที่ 420 ไร่ และความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 5,059.534 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ นับเป็นความสำเร็จของจุดเริ่มต้นที่เครือฯ ยังคงมุ่งมั่นเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับป่า โดยเฉพาะป่าต้นน้ำที่นับเป็นเรื่องหลักที่ต้องเร่งดำเนินการ นำสู่การจัดการเชิงนิเวศในผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป