ข่าวหุ้น-การเงิน
Monday August 2, 2021 09:21 —ThaiPR.net
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงอย่างมากจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งส่งผลให้การแพร่ระบาดมีแนวโน้มควบคุมได้ยากขึ้น ขณะที่ เนื่องด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น คาดว่าภาครัฐจึงจำเป็นต้องต่ออายุมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน และมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ทรุดตัวไปกว่าเดิม ดังนั้น มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายยังคงมีความจำเป็นในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมาตรการทางการคลังที่ออกมาเพิ่มเติม ซึ่งในการประชุมกนง. ที่จะถึงนี้ คาดว่ากนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงไปกว่านี้ ท่ามกลางความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะยังคงมุ่งเน้นการใช้มาตรการที่ตรงจุดเพื่อช่วยลดภาระหนี้สินของภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยล่าสุดธปท. ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและสมาคมธนาคารนานาชาติได้เห็นร่วมกันออกมาตรการเร่งด่วนด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และ รายย่อย เป็นระยะเวลา 2 เดือนให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ
- อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงกว่าที่คาด กนง. คงเผชิญแรงกดดันให้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่กนง. อาจนำมาพิจารณา ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายไตรมาส 3/2564 และส่งผลให้ทางการยังจำเป็นต้องต่ออายุมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดต่อไปในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยงเชิงลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทางภาครัฐคงจำเป็นต้องออกมาตรการทางการเงินและการคลังเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยธปท. น่าจะยังคงมาตรการเฉพาะจุดที่ช่วยลดภาระหนี้สิน เช่น การพักชำระหนี้ ต่อไป ขณะที่ มีความเป็นไปได้ที่กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าหากมีความจำเป็น เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดภาระทางการเงินของครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อโลกขาขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็วกว่าที่คาด อาจนำมาซึ่งความท้าทายในการดำเนินนโยบายทางการเงินของธปท. โดยนโยบายการเงินของเฟดที่เปลี่ยนไปในทิศทางเข้มงวดมากขึ้นจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ อันส่งผลให้กนง. อาจจำเป็นจะต้องพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสวนทางกับธนาคารกลางอื่นๆ จะยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเงินไทย และอาจเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า