บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า โชว์ผลงานไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% และมีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท เติบโต 3.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ OPD - IPD ในกลุ่มที่เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อรับการตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการรักษาอาการจากการติดเชื้อจำนวนหนึ่งอีกด้วย รวมทั้งผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่
นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกการทำตลาดผู้ป่วยไทย และผู้ป่วยชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) อยู่ที่ 349.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักเกิดจากฐานรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ต่ำกว่าปกติจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกในช่วงปี 2563 รวมถึงการได้รับผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่ ตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) อยู่ที่ 282.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ หากแบ่งรายได้ตามการชำระเงินจะพบว่า สัดส่วนรายได้จากทุกกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มของรายได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในปีที่ผ่านมา ที่เน้นเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มประกันสุขภาพ จากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง ส่วนต้นทุนในการประกอบกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย) ไตรมาส 2/64ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 500 ล้านบาท ปัจจัยหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย จากการเปิดใช้อาคารศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ รวมถึงต้นทุนค่าเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 130.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.3% ของรายได้รวม เมื่อเทียบกับ 116.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2/63 ซึ่งคิดเป็น 22.4% ของรายได้รวม สัดส่วนดังกล่าวที่ลดลงสะท้อนถึงการจัดการที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนปรับสูงขึ้น อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดอาคารใหม่ แต่บริษัทฯ ก็สามารถบริหารจัดการ ประหยัดค่าใช้จ่ายหลายๆ รายการ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายทางด้านบุคลากรยังคงทำได้ดีขึ้น จากการบริหารชั่วโมงทำงานและกระจายทรัพยากรบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/64 เติบโต 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"สำหรับแนวโน้มในครึ่งหลังปี 2564 คาดอุปสงค์การใช้บริการจะเริ่มดีขึ้น ในไตรมาส 4/64 จากการฉีดวัคซีนที่จะครอบคลุมประชากรมากขึ้น รายได้จากศูนย์เฉพาะทางต่างๆ น่าจะกลับมาเติบโต จากอุปสงค์คงค้าง หรือ Pent Up Demand กอปรกับเข้า High season ของธุรกิจโรงพยาบาลพอดี ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์ในการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง จากการที่กลุ่มตลาดลูกค้าประกันที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น และยังได้เตรียมความพร้อม ในเรื่องการรองรับการรักษากลุ่มข้าราชการที่ได้รับสวัสดิการกับกรมบัญชีกลางอีกด้วย" นพ.เสถียร กล่าว