บอร์ด TFG อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อัตราหุ้นละ 0.05 บาท หลังเปิดงบงวดครึ่งแรกปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 875.07 ล้านบาท ผลจากรายได้จากธุรกิจไก่ สุกรและอาหารสัตว์โตต่อเนื่อง ฟากผู้บริหาร "นายเพชร นันทวิสัย" ระบุ ครึ่งปีหลังแนวโน้มธุรกิจยังเติบโตได้ดี เดินหน้าขยายโรงงานอาหารสัตว์ในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมสร้างฟาร์มพ่อแม่พันธ์สุกรเพิ่ม รองรับดีมานด์ หนุนอนาคตเติบโตแข็งแกร่ง
นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท โดยเป็นการจ่ายจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2564 และกำไรสะสม โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date)ภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2564
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมอยู่ที่ 17,147.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.94% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 15,318.35 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 875.07 ล้านบาท
ส่วนงวดไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 8,744.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.25% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 7,271.48 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 429.59 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนผลการดำเนินงานมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากรายได้จากธุรกิจไก่ ธุรกิจสุกร และธุรกิจอาหารสัตว์ เพิ่มขึ้น หลังบริษัทฯขยายการลงทุน และขยายตลาดใหม่ เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งแรกของปีนี้ ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย แต่บริษัทฯยังสามารถรักษาการทำกำไรไว้ได้ เนื่องจากธุรกิจสุกรมีการเติบโตได้ดี จากความต้องการของตลาด และปริมาณการผลิตในไทยที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 20% รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์ที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง"
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง คาดว่ายังเติบโตได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากธุรกิจสุกรจะมีการขยายตัวจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาที่อยู่ในระดับที่ดี รวมทั้งจะมีการขยายโรงชำแหละสุกร ขยายฟาร์มระดับพ่อแม่พันธุ์สุกรทั้งในประเทศ และประเทศเวียดนาม ซึ่งได้เริ่มดำเนินไปแล้วบางส่วน โดยในปีนี้จะสร้างฟาร์มพ่อแม่พันธุ์สุกรเพิ่มเติม รวมถึงการขยายโรงงานอาหารสัตว์ในประเทศไทย และเวียดนาม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ราว 3,000-3,500 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 80% เป็นการขยายการลงทุนในไทย และส่วนที่เหลือ 20% ลงทุนในเวียดนาม รวมทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกไปที่สหภาพยุโรป (EU) เพิ่มเติมสำหรับสินค้าปรุงสุก
ขณะเดียวกันบริษัทฯเริ่มมีการขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อสำหรับเนื้อสดในรูปแบบตลาดสดภายใต้ชื่อร้าน Thai Foods Fresh Market หรือตลาดสดไทยฟู้ดส์ โดยปัจจุบันมี 29 สาขา ในปี 2564 ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเนื้อสัตว์ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมดีขึ้น ผลักดันรายได้กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง