CCP โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/64 รายได้รวม 624.88 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.52 ล้านบาท การเติบโตงานโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐหนุน คาดไตรมาส 3/64 ทรงตัว เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป รองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน และงาน Landscape เดินหน้าประมูลงานใหม่ทั่วประเทศ ดัน Backlog ที่ 1,800 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 624.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 605.12 ล้านบาท จำนวน 19.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.27 % และมีกำไรสุทธิ 10.52 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท หรือลดลง 38.15%
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมเฉพาะกิจการ 367.06 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 372.22 ล้านบาท จำนวน 5.16 ล้านบาท หรือลดลง 1.38 % และมีกำไรสุทธิ 27.21ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.39 ล้านบาท จำนวน 16.33 %
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,299.96 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,322.46 ล้านบาท จำนวน 22.5 ล้านบาท หรือลดลง 1.7 % และมีกำไรสุทธิ 31.09 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 56.95 ล้านบาท จำนวน 25.86 หรือลดลง 45.40 %
ทั้งนี้ รายได้รวมไตรมาส 2/64 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีปริมาณงานต่อเนื่อง จากโครงการเมกะโปรเจกต์ทั่วประเทศ งานโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างตามปกติ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบิน โครงการท่าเรือ โครงการมอเตอร์เวย์ งานถนน ภาคเอกชน อาทิ นิคมอุตสาหกรรม
ขณะที่ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทปรับตัวลดลงเล็กน้อย ปัจจัยหลักจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้การดำเนินงานการก่อสร้างชะลอหรือต้องเลื่อนส่งมอบงาน อีกทั้ง ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจ
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 3/64 มีแนวโน้มทรงตัวจากมาตรการล็อกดาวน์ คำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้าง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่เสี่ยง ซึ่งบริษัทได้ผลกระทบไม่มากและเป็นระยะสั้น เนื่องจากปริมาณงานของบริษัทมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีปริมาณงานส่วนน้อย เมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด และคาดว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หลังภาครัฐมีมาตรการผ่อนปรนให้ดำเนินการก่อสร้างได้ตามปกติ ซึ่งผู้ประกอบการจะเร่งส่งมอบงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลาที่วางไว้
อีกทั้ง บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่ช่วยแก้ปัญหางานก่อสร้าง ขาดแคลนแรงงาน ลดต้นทุน ทำให้งานเสร็จรวดเร็ว อาทิ กลุ่มบล็อกกำแพง บล็อกกันหน้าดิน บล็อกปูพื้น เพื่อรองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน เมกะโปรเจกต์ งานกรมทางหลวง งาน Landscape พร้อมทั้งการขยายฐานลูกค้า กลุ่มผู้รับเหมา ที่มีความต้องการใช้งานคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่องานก่อสร้าง Land Scape ทั่วประเทศ
"บริษัทยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเร่งเดินหน้าเข้าประมูลงานโครงการเมกะโปรเจกต์ และงานโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศเข้ามาเพิ่มต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท" นายอาทิตย์กล่าว