"บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม หรือ THIP" ประกาศงบไตรมาส 2/2564 มีกำไร 62.2 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6 % กวาดยอดขาย 911.8 ล้านบาท เติบโต 31 % ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น วางเป้าธุรกิจปี 2564 แข็งแกร่ง เดินหน้าขยายกำลังการผลิตรองรับดีมานด์จากลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขี้น รวมถึงการทำตลาดลูกค้าใหม่เอื้อธุรกิจเติบโตระยะยาว พร้อมเสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ SUN ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลังจากสถานการณ์โควิดในปัจจุบันอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานในสินค้าภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์แม้มีดีมานด์ต่อเนื่อง
นางพจนารถ ปริญภัทร์ภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ THIP ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์คุณภาพระดับสากล เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 58.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.69 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2564 ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.65 บาทต่อหุ้น ขณะที่รายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 911.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31% จากงวดเดียวกันปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมจากการขาย 696 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นคิดเป็น 17.33% ของยอดขาย ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 20.82% โดยเป็นผลจากราคาวัตถุดิบหลักที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 จนถึงปลายไตรมาส 1/2564 ส่งผลให้ต้นทุนขายสูงขึ้น 202.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.8% ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทฯ มาจากสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศ 85% และลูกค้าในประเทศ 15% ของยอดขายทั้งหมด
"ยอดขายต่างประเทศโดยรวมมีการเติบโตต่อเนื่อง ผลจากการขยายตลาดเข้าไปในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในทวีปยุโรป อเมริกา และกลุ่มประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ภาพรวมการส่งออกสินค้า ปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ ยังคงมีอยู่แต่ไม่รุนแรงมากนัก จึงไม่ส่งผลต่อยอดขาย แต่ยังคงเป็นลักษณะ rolling คือค้างเดือนที่แล้วจะส่งออกได้เดือนนี้ คาดว่าสถานการณ์ยังคงมีการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แต่จะไม่รุนแรงขึ้นจนกระทบยอดขายอย่างมีสาระสำคัญ ขณะที่ตลาดในประเทศยังได้รับผลกระทบจาการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการล็อคดาวน์ ซึ่งเราก็มุ่งมั่นในการบริหารจัดการและออกมาตรการเชิงรุก เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย" นางพจนารถ กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากตลาดบรรจุภัณฑ์ โดย บริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มเพื่อรองรับดีมานด์จากลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการทำตลาดลูกค้าใหม่ เอื้อธุรกิจเติบโตในระยะยาว พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ SUN ให้เป็นที่รู้จัก
โดยกลยุทธ์การผลักดันสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง (own brands) มองว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นตัวช่วยในการปรับวิถีชีวิตแบบ New normal จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจ ให้ความสำคัญกับการป้องกันตนเอง และมีความจำเป็นต้องอยู่ที่บ้านในช่วงนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและยังสะดวกต่อการใช้งานของผู้บริโภค เช่น ถุงซิปอเนกประสงค์ ซันซิป แอนตี้ ไวรัส สามารถใส่สิ่งของและอาหารได้ตามต้องการ ยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสได้กว่า 99% ตัวช่วยสำคัญให้คุณรู้สึกสะอาด มั่นใจยิ่งกว่า ซึ่งบริษัทพยายามทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด Kitchen Neat ถุงมืออเนกประสงค์ ตัวช่วยทำให้มั่นใจได้มากขึ้นในทุกการสัมผัส ลดการสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือสิ่งของ Fresh & Fresh ถุงยืดอายุผักและผลไม้ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงนี้ ตัวช่วยในการเก็บรักษาผักและผลไม้ให้สามารถทานได้ยาวนานขึ้น ทำให้ไม่ต้องออกนอกบ้านไปเลือกซื้ออาหารบ่อยๆ ก็จะลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง และถุงขยะสีแดง เพื่อแยกทิ้งหน้ากากที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เป็นต้น
แม้ว่าสถานการณ์โควิดระลอกใหม่ในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบในวงกว้างในสังคม ซึ่งจากปัจจัยภายนอกมีผลกระทบกับห่วงโซ่อุปทานในสินค้าภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ บริษัทจึงได้เร่งปรับแผนงานให้สามารถดำเนินการผลิต รวมถึงการจัดการด้านบุคลากรเพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้า รวมทั้ง ออกมาตรการเพื่อป้องกันโควิดในโรงงาน ได้แก่ การตรวจสอบกลุ่มเสี่ยง และการป้องกันการกระจายเชื้อโรค โดยได้จัดทำ Factory Isolation เพื่อรองรับคนที่ต้องกักตัว แต่มีข้อจำกัดที่บ้านให้สามารถมาพักพิงที่ศูนย์พักคอยของบริษัทได้ ส่งผลให้การผลิตยังคงสามารถส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา