'พรินซิเพิล' ชี้สหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง เศรษฐกิจขยายตัว หนุนโอกาสลงทุน เปิดตัวกองทุน Principal US Equity Fund 8 - 15 ก.ย.นี้ ชูกองทุนหลัก iShares Russel 1000 ETF ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ แบบกระจายความเสี่ยงรายอุตสาหกรรม ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ 1 ปีที่ 43% และ 3 ปีที่ 19% ต่อปี
บลจ. พรินซิเพิล ประเมินตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสให้ผลตอบแทนโดดเด่นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ระยะขยายตัวของ Mid-Cycle Phase ชูจุดเด่นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งจาก COVID-19 อีกทั้งยังมีนโยบายการลงทุนภาครัฐชุดใหญ่เป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว พร้อมเปิดตัว 'กองทุนเปิด พรินซิเพิล ยูเอส อิควิตี้' หรือ Principal US Equity Fund (PRINCIPAL USEQ) เตรียมขายหน่วยลงทุนครั้งแรกวันที่ 8 - 15 กันยายนนี้ ชูนโยบายลงทุนใน iShares Russel 1000 ETF เป็นกองทุนหลักกองทุนเดียว เน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ แบบกระจายความเสี่ยงรายอุตสาหกรรม ผลงานเด่น 1 ปีย้อนหลัง (มิถุนายน 2564) 43% ต่อปี และ 3 ปีย้อนหลังที่ 19% ต่อปี (Benchmark : 1Y=43.07% ต่อปี 3Y=19.19% ต่อปี, Source FTSE Russell ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564
นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีโอกาสสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีและเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในตอนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นตลาดหุ้นที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก ช่วงปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติ Covid-19 ได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการที่มีการเติบโตในระดับสูงนำหน้าทั้งกลุ่มประเทศ Developed Markets และกลุ่มประเทศ Emerging Markets อีกทั้งในระยะข้างหน้าประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ระยะการขยายตัวของ Mid-Cycle Phase ซึ่งจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 3% สูงกว่า GDP ในระยะยาวของสหรัฐฯ และเอื้อต่อการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ สามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี โดยมีอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอัตราการฉีดวัคซีนสองเข็มมากกว่า 50% ของประชากร จึงสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ได้ และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีอัตราการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ จะสามารถรักษาระดับการเติบโตของผลประกอบการ อีกทั้งจะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการปรับเพิ่มประมาณการกำไรอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีในระดับมากกว่า 6% ต่อปีทั้งสองไตรมาส โดยในระยะถัดไปคาดว่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการผ่านร่างนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย ร่างนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก้อนใหม่มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ และร่างนโยบายการลงทุนด้านสวัสดิการสังคมและ Climate Change ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเราคาดว่าเม็ดเงินลงทุนสองก้อนนี้จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและภาคเอกชนในอนาคต ขณะที่ข้อมูลในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในช่วงที่สหรัฐฯ มีการทำ Tapering หรือการลดขนาด QE ครั้งแรกเมื่อปี 2556 และ 2557 โดยที่ผลกระทบต่อตลาดนั้นเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่เศรษฐกิจจีนฟองสบู่แตกในปี 2558 นับว่าเป็นการปรับขึ้นของตลาดหุ้นที่ยาวนานและมีเสถียรภาพ
"เรามองว่าในตอนนี้เป็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นอกจากจะมีอัตราการเติบโตโดดเด่นสำหรับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วยังมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นภูมิภาคอื่นท่ามกลางสภาวะการลด QE อีกทั้งยังมีนโยบายการลงทุนภาครัฐออกมาสนับสนุนต่อเนื่อง ถือว่าหาได้ยากในยุคที่หลายประเทศเริ่มมองถึงการถอนมาตรการช่วยเหลือ" นายศุภกร กล่าว
นายศุภกร กล่าวต่อว่า บลจ. พรินซิเพิล จึงเพิ่มทางเลือกแก่นักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเปิดตัว กองทุนเปิด พรินซิเพิล ยูเอส อิควิตี้ หรือ Principal US Equity Fund (PRINCIPAL USEQ) มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 8 - 15 กันยายน 2564 กำหนดสั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ iShares Russel 1000 ETF เป็นกองทุนหลัก ซึ่งหากย้อนดูในอดีตนับจากปี 2550 - 2563 ดัชนี Russell 1000 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก และให้ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่มีความโดดเด่น โดยให้ผลตอบแทน 1 ปี 43% 3 ปี 19% ต่อปี 5 ปี 18% ต่อปี และ 10 ปี 15% ต่อปี (ผลตอบแทนของดัชนีเทียบวัด : 1Y=43.07% ต่อปี 3Y=19.19% ต่อปี 5Y=17.99% ต่อปี และ 10Y=14.90% ต่อปี, Source FTSE Russell ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564)
สำหรับกองทุน iShares Russel 1000 ETF จัดตั้งในเดือนพฤษภาคม 2543 โดย iShares เป็น ETFs ที่มีมูลค่าสินทรัพย์การบริหารจัดการสูงสุดในโลก บริหารจัดการโดย BlackRock บริษัทจัดการด้านการลงทุนข้ามชาติชั้นนำสัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งในปี 2531 โดย ณ เดือนมกราคม 2564 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงสุดในโลก มูลค่า 8.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กองทุนดังกล่าวเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง CBOE, NYSE, NYSE American,NASDAQ และ ARCA จัดน้ำหนักการลงทุนตาม Market Cap เพื่อให้ได้หุ้น 1,000 ตัวแรก พร้อมทั้งปรับสัดส่วนเป็นรายปีและ 6 เดือน และนำหุ้น IPO เข้าพอร์ตทุกเดือนที่ 3 9 และ 12 ปัจจุบันมีการกระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยที่กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2564 คือ Information Technology 28.05%, Health Care 13.20%, Consumer Discretionary 11.86%, Financials 11.52% และ Communication 10.73% โดยหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ได้แก่ APPLE, MICROSOFT, AMAZON, FACEBOOK, ALPHABET INC CLASS A, ALPHABET INC CLASS C, TESLA, BERKSHIRE, NVIDIA และ JPMORGAN (Source: Blackrock)
ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL USEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App