KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการแข่งขันและความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯและจีน จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและกำหนดว่าใครจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในทศวรรษข้างหน้า ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับพลเมือง รวมไปถึงเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประเทศได้ โดยสหรัฐฯและจีนต่างออกนโยบายชิ้นสำคัญเพื่อยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้คงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้
การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯและจีนเกิดขึ้นหลายด้าน แต่ KKP Research มองว่าในปัจจุบันศูนย์กลางของความขัดแย้งในครั้งนี้อยู่ที่เทคโนโลยีสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี Cyber security เพราะ 1) เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 2) เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีในการสื่อสารยังเป็นเหมือนกับมันสมองที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีทางการทหาร 3) การโจมตีทางด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญ จะให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น
ในอนาคตข้างหน้า อุปสงค์ของเซมิคอนดักเตอร์จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของตลาดในสาขาต่างๆ ได้แก่ Data centers, Artificial Intelligence, 5G, Smartphone, autonomous vehicle เป็นต้น ในขณะที่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์มีความเปราะบางสูงต่อความเสี่ยงด้าน supply shock และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์นั้นกระจุกตัวอยู่แค่ใน 6 แหล่งเท่านั้น ได้แก่สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการผลิตชิปไฮเอนด์ระดับต่ำกว่า 10 นาโนเมตรที่กำลังการผลิตทั้งโลกกระจุกอยู่ในไต้หวันถึง 92% และเกาหลีใต้ 8% ด้วยเหตุนี้ หากห่วงโซ่อุปทานเผชิญกับ supply shock ต่างๆ จากภัยธรรมชาติ หรือหากไต้หวันต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการทหารระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะรุนแรงมาก และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมภาคการผลิตและอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์อย่างสูง ด้วยเหตุนี้ทำให้ สหรัฐฯ และจีนจำเป็นจะต้องมีนโยบายที่มุ่งเน้นไปยังการสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ในด้านเทคโนโลยี 5G จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้าน 5G ทั้งในด้านอุปกรณ์และในด้านการกำหนดมาตรฐานของ 5G ด้วยเหตุที่ Huawei ครอบครองสัดส่วนตลาดสูงสุด ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ต้นทุนการติดตั้งที่ถูกกว่าถึง 30% เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ และนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนที่ขยายการลงทุนจากจีนไปยังหลายประเทศในภูมิภาค เอเชีย แอฟริกา และ อเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม หลายประเทศมีความกังวลในเรื่องภัยสอดแนมและปัญหาความปลอดภัยข้อมูลจากอุปกรณ์ของ Huawei บางประเทศถึงขั้นออกมาตรการในการจำกัดการใช้อุปกรณ์จาก Huawei ในอนาคตข้างหน้าที่ความปลอดภัยไซเบอร์จะมีความสำคัญมากขึ้น อาจเพิ่มแรงกดดันที่ทำให้มาตรฐานของเทคโนโลยีแยกออกเป็นสองค่าย นั่นคือค่ายสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร และอีกฝั่งก็คือค่ายจีน หากมาตรฐานของเทคโนโลยีหรือโลกของอินเตอร์เน็ตถูกตัดขาดหรือแยกออกเป็นสองค่ายจริง ๆ อาจทำให้ต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นส่งผลทำให้ผลิตภาพของโลกลดลงและอาจเร่งทำให้ห่วงโซ่อุปทาน การลงทุน และการค้าโลก เกิดการสับเปลี่ยนมากขึ้น ในกรณีนี้ ประเทศไทยอาจถูกบังคับให้ต่องเลือกค่ายและต้องรับต้นทุนในการติดต่อสื่อสารรวมไปถึงต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูลทีเพิ่มสูงขึ้น
KKP Research มองว่าการแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีนรวมไปถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1) ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของการผลิตและราคาสินค้า ในอนาคตข้างหน้าที่เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อแทบทุกสินค้าและบริการ ทำให้ชิปมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันที่จำเป็นอย่างในยิ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ด้วยความที่ห่วงโซ่อุปทานชิปมีเปราะบางและกระจุกตัวสูง หากเกิด supply shock จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบส่งผ่านต่อราคาสินค้าและบริการอื่นๆ และทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มสูงขึ้น คล้ายกับวิกฤตน้ำมัน ในกรณีของประเทศไทย มีสัดส่วนการนำเข้า integrated circuits หลักจากมาเลเซีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น รวมกันสูงถึง 54% เพราะฉะนั้นหากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีน ในเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้รวมไปถึงไต้หวัน ลุกลามไปเป็นความขัดแย้งทางการทหาร ก็จะมีผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2) ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะขาดแคลนชิปจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อไทยและพึงพาเซมิคอนดักเตอร์สูง นอกจากนี้ หากอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเปลี่ยนไปตามแนวโน้มใหม่ไม่ว่าจะเป็น EV และ Autonomous Vehicle มากยิ่งขึ้น ช็อกที่เกิดขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการผลิตรถยนต์และการส่งออกรถยนต์
3) ความเสี่ยงต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ การแข่งกันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ ฯ และจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น จะทำให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้นและผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ในปัจจุบันไทยอยู่อันดับ 46 ของโลกที่มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Frontier Technology) มาใช้ ได้แก่ AI, Robotics และ Biotechnology หากประเทศไทยไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนากระบวนการผลิตแบบใหม่และไม่ให้ความสำคัญในการป้องกันข้อมูลและลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางด้านไซเบอร์ อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยและตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกถดถอยอย่างต่อเนื่อง
เพื่อที่จะลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ไทยเป็นฐานการผลิตชิปเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่งานง่ายที่ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนในภาคการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากอุปสรรค 2 ข้อคือ 1) คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการดึงดูดผู้เปี่ยมศักยภาพ (Talent) ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ 2) จุดอ่อนของไทยในด้านกฎหมายธุรกิจและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ภาครัฐควรให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาใน 2 ด้านนี้หากต้องการดึงดูดการลงทุนในด้านเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ การที่จะลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมไปถึงการรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด โดยภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายดังนี้ 1) ส่งเสริมและพัฒนาทักษะแรงงานให้เพื่อปรับตัวให้พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ 2) ลงทุนเพื่อพัฒนา soft infrastructure ได้แก่ ระบบฐานข้อมูล และ High-speed broadband 3) ลดกฎระเบียบที่ยุ่งยากและเพิ่มความชัดเจนของนโยบายทางภาษีและนโยบายส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพในไทย 4) ลงทุนในการเสริมความแข็งแกร่งในด้าน Cyber security และ data protection ทั้งในกิจกรรมของภาครัฐและภาคเอกชน โดยนโยบายที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ไทยสามารถพลิกจากความเสี่ยงที่มีผลกระทบขนาดใหญ่กลายเป็นโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซอุปทานแห่งอนาคตและเพิ่มผลิตภาพให้กับเศรษฐกิจไทย