กรมวิชาการเกษตร เข้มส่งออกลำไยไปจีน คาดลำไยภาคตะวันออกให้ผลผลิตยาวถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า รวม 4 แสนตัน ผนึกเกษตรกรและผู้ประกอบการร่วมปฏิบัติการสร้างความเชื่อมั่นลำไยไทยไร้เพลี้ยแป้งและเชื้อโควิด ชี้แก้ปัญหาถูกจุดต้องร่วมกันป้องกันตั้งแต่สวนต้นทางควบคู่เข้มงวดตรวจสอบซ้ำในโรงคัดบรรจุ
นายอนันต์ อักษรศรี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร โนฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในช่วงนี้เข้าสู่ฤดูกาลผลผลิตลำไยของภาคตะวันออกเริ่มออกสู่ตลาดโดยผลผลิตจะออกมากในช่วงเดือนกันยายนนี้ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าผลผลิตลำไยในภาคตะวันออกจะมีจำนวนประมาณเกือบ 400,000 ตัน จึงได้มอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จ.จันทบุรี (สวพ.6) ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาครับผิดชอบในเขตภาคตะวันออกของกรมวิชาการเกษตรเข้มงวดตรวจสอบศัตรูพืชโดยเฉพาะเพลี้ยแป้งไม่ให้ติดไปกับผลผลิตลำไยที่จะส่งออกไปจีน รวมทั้งกำกับดูแลเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุให้ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการกำกับดูแลการส่งออกลำไยไปประเทศจีนไม่ให้เกิดปัญหาที่ประเทศปลายทาง เนื่องจากจีนได้เฝ้าระวังและเพิ่มมาตรการการตรวจสอบที่เข้มงวดจากเดิมมากขึ้น
ด้านนายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า สวพ.6 ได้เตรียมความพร้อมการส่งออกลำไยในภาคตะวันออกไปประเทศจีนในฤดูกาลผลิตปี 2564/2565 โดยตั้งคณะทำงานตรวจสอบศัตรูพืชของสวพ.6 ปฏิบัติงานร่วมกับด่านตรวจพืชในพื้นที่ปฏิบัติงานเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหาการตรวจพบเพลี้ยแป้งในลำไยผลสดส่งออกไปจีน โดย สวพ.6 มีโรงคัดบรรจุในเขตภาคตะวันออกที่อยู่ในความรับผิดชอบจำนวน 93 โรง ได้แก่ จันทบุรี 89 โรง ระยอง 2 โรง และสระแก้ว 2 โรง ซึ่งคณะทำงานตรวจสอบศัตรูพืชของ สวพ.6 และด่านตรวจพืชได้ลงพื้นที่เข้าไปตรวจสอบศัตรูพืชภายในโรงคัดบรรจุควบคู่ไปกับการตรวจติดตามเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติด้านสุขลักษณะที่ดีในโรงงานผลิตสินค้าพืชตามหลัก GMP เช่น การทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ การแยกพื้นที่กระบวนการผลิต การควบคุมการปฏิบัติงาน การเก็บรักษา การกระจายสินค้า การขนส่ง และการควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคล ตามแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งการสุ่มตรวจในช่วงที่ผ่านมาในโรงคัดบรรจุแม้จะยังเจอปัญหาตรวจพบเพลี้ยแป้งแต่ผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรจึงทำให้สามารถส่งออกต่อไปได้
นอกจากนี้ สวพ.6 ได้ประชุมร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร ที่ 3 จ.ระยอง กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และกำหนดมาตรการรองรับการบริหารจัดการลำไยภาคตะวันออก โดยการแก้ปัญหาเพลี้ยแป้งลำไยต้องมีแผน "ระยะเร่งด่วน" ในขณะนี้คือต้องแก้ปัญหาการระบาดของเพลี้ยแป้งในผลผลิตลำไยในฤดูกาลนี้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งต้องทำตั้งแต่ "ต้นน้ำ" โดยจัดอบรมให้ความรู้วิธีการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งอย่างมีประสิทธิภาพแก่เกษตรกร ส่วน "กลางน้ำ" พุ่งเป้าไปที่ "สายเก็บลำไย" ซึ่งต้องมีการสร้างการรับรู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องในการเก็บและคัดแยกผลผลิตที่ด้อยคุณภาพออกเพื่อไม่ให้มีเพลี้ยแป้งติดไปกับผผลิต ส่วน "ปลายน้ำ" ในโรงคัดบรรจุต้องตรวจอย่างเข้มงวดทั้งศัตรูพืชและเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกระงับการส่งออก ซึ่งหากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกันโดยเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติที่ถูกต้องตั้งแต่ที่สวนจนถึงโรงคัดบรรจุก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเพลี้ยแป้งและเชื้อโควิดติดไปกับผลผลิตได้