ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เป็น 'BBB' จาก 'BBB-' และปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวเป็น 'AA+(tha)' จาก 'AA-(tha)' โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ฟิทช์ยังปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น (Short-Term Issuer Default Rating) เป็น 'F2' จาก 'F3' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ 'F1+(tha)' สำหรับรายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดแสดงไว้ในส่วนท้ายของประกาศ
การปรับอันดับเครดิตในครั้งนี้เป็นผลมาจากการทบทวนการประเมินความสำคัญของธนาคารต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศและโอกาสที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ (extraordinary support) จากทางการหากมีความจำเป็น หลังจากการรวมกิจการกับ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศให้ TTB เป็น ธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทย (D-SIB)
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลและอันดับเครดิตภายในประเทศ เป็นผลมาจากการปรับอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำเป็น 'BBB' จาก 'BBB-'
อันดับเครดิตของ TTB พิจารณาถึงโอกาสที่ทางการไทยจะยังคงสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของไทยมีเสถียรภาพต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึง TTB ที่ได้รับการปรับสถานะให้เป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศ ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ทางการไทยได้ให้การช่วยเหลือไม่ให้ฐานะทางการเงินของธนาคารไทยปรับตัวด้อยลงด้วยมาตรการช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงการผ่อนปรนด้านกฎเกณฑ์และสนับสนุนเศรษฐกิจในวงกว้าง โอกาสที่ทางการจะให้การสนับสนุนแก่ TTB น่าจะเป็นผลมาจากความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินและความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบกรณีที่ TTB ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติ ถึงแม้ว่า TTB จะมีขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารที่เป็น D-SIB รายอื่น
ทั้งนี้ฟิทช์ยังคำนึงถึงสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังใน TTB ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ 22% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยในการตัดสินใจที่ทางการจะเข้าสนับสนุนธนาคาร แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์ยังมองว่าการถือหุ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นในลักษณะการถือหุ้นเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวเช่นเดียวกับการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารอื่นที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาล ดังนั้นโอกาสที่ TTB จะได้รับการสนับสนุนจากทางการจึงไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเท่าธนาคารที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับรัฐบาลการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลระยะสั้นเป็น 'F2' สะท้อนถึงความเชื่อของฟิทช์ว่าโอกาสที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยน่าจะมีความแน่นอนกว่าในระยะสั้นและไม่ได้มีปัจจัยที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการที่รัฐบาลไทย ('BBB+'/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) จะให้การสนับสนุนในกรณีที่มีความจำเป็น
นอกจากนี้การปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวยังพิจารณาเปรียบเทียบระดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของ TTB กับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศโดยฟิทช์
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิได้รับการปรับเพิ่มอันดับมาอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคาร เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของธนาคาร
แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพของ TTB สอดคล้องกับแนวโน้มอันดับเครดิตของอันดับเครดิตของประเทศไทยและยังสะท้อนถึงการที่ฟิทช์เชื่อว่าโอกาสในการที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากทางการไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ และอันดับเครดิตสนับสนุน
การปรับอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำพิจารณาจากมุมมองของฟิทช์ว่ามีความเป็นไปได้ที่สูงขึ้นที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนพิเศษแก่ TTB ในกรณีที่มีความจำเป็น เนื่องจาก TTB เป็นธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินภายในประเทศ TTB ได้ประสบความสำเร็จในการรวมกิจการกับ ธนาคารธนชาต ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 และได้ผนึกเป็นองค์กรเดียว TTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านเงินฝากที่ประมาณ 9% ณ สิ้นปี 2563 การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศให้ TTB เป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศแห่งที่ 6 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าธนาคารมีธุรกรรมทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินในระดับสูง (interconnectedness) และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครอบคลุม
เช่นเดียวกันกับธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทย รายอื่น TTB ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่เข้มข้นกว่าธนาคารพาณิชย์ เช่น การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำเพิ่มอีก 1% (ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (common equity tier 1) ขั้นต่ำอยู่ที่ 8%) และจะถูกกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยมาตรการการมีความเข้มงวดมากขึ้น ฟิทช์คาดว่า TTB จะสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนใหม่ได้ โดยธนาคารมีเงินกองทุนชั้นที่ 1ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ที่ 14.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564
อันดับเครดิตสนับสนุนที่ '2' ยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำที่ 'BBB' ดังนั้นฟิทช์จึงประกาศคงอันดับเครดิตดังกล่าว
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของธนาคารได้รับการปรับเพิ่มอันดับ หากอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำปรับสูงขึ้น และการปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศจะพิจารณาเปรียบเทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
การลดอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำจะส่งผลให้อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของธนาคารถูกปรับลดอันดับลงเช่นกัน อันดับเครดิตภายในประเทศอาจต้องมีการทบทวนการพิจารณาในกรณีที่ฟิทช์อาจมองว่าโครงสร้างเครดิตของ TTB ปรับตัวด้อยลงเมื่อเทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ
อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำและอันดับเครดิตสนับสนุน
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
การที่รัฐบาลมีความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่ TTB ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนได้จากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำได้รับการเพิ่มอันดับ แต่สมมติฐานของฟิทช์ในด้านโอกาสในการให้การสนับสนุนธนาคารต้องไม่มีการปรับตัวลดลง หากอันดับเครดิตของประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของ TTB ก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น
การปรับอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำขึ้นมาอยู่ในระดับ 'A-' น่าจะส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนได้รับการปรับเพิ่มอันดับ
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ หากรัฐบาลมีความสามารถที่จะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารลดลง เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดได้จากการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย นอกจากนี้อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตดังกล่าวได้หากมีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าโอกาสที่ TTB จะได้รับการสนับสนุนปรับตัวด้อยลง เช่นจากการปรับตัวลดลงของระดับความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศหรือการที่ TTB ไม่ได้มีสถานะเป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศอีกต่อไป อย่างไรก็ตามฟิทช์ไม่คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น
การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ระดับคะแนนที่สูงที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต (หากมีการเปิดเผย) แสดงว่าระดับคะแนนจะอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของธนาคารก็ตามสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com/esg
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังต่อไปนี้:
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวปรับเพิ่มอันดับเป็น 'BBB' จาก 'BBB-'; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นปรับเพิ่มอันดับเป็น 'F2' จาก 'F3'
- อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำปรับเพิ่มอันดับเป็น 'BBB' จาก 'BBB-'
- อันดับเครดิตสนับสนุนคงอันดับที่ '2'
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวปรับเพิ่มอันดับเป็น 'AA+(tha)' จาก 'AA-(tha)'; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นคงอันดับเครดิตที่ 'F1+(tha)'
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันปรับเพิ่มอันดับเป็น 'BBB' จาก 'BBB-'