"กรุงไทย" ขยายศักยภาพแอปฯ เป๋าตัง ตามเป้าหมาย Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างรองรับทุกการใช้จ่ายของลูกค้า ล่าสุดยกระดับบริการ เชื่อมระบบสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ "LINE MAN - Grab" ผ่านโครงการคนละครึ่งบนแอปฯ เป๋าตัง ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ ห่างไกลโควิด-19 เริ่มวันนี้
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาแอปพลิเคชันเป๋าตังให้เป็น Thailand Open Digital Platform ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร พร้อมเปิดกว้างจับมือกับพันธมิตรทุกกลุ่ม ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาบริการต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมในชีวิตของลูกค้าประชาชน ทั้งการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ด้านสุขภาพ การศึกษา การออมและการลงทุน รวมถึงการบริการต่างๆ ของภาครัฐ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 33 ล้านคน
ล่าสุด ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ในการขับเคลื่อนโครงการคนละครึ่งธนาคารได้ขยายศักยภาพของแอปฯ เป๋าตัง ให้สามารถรองรับการใช้จ่ายในการสั่งอาหารและเครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ 2 รายใหญ่ คือ แกร็บ (Grab) และ ไลน์แมน( LINE MAN) โดยการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป เพิ่มความความสะดวกในการใช้งานให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ลดค่าใช้จ่ายในการครองชีพ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วง Work From Home ที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้บริการสั่งอาหารและเครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่มากขึ้น เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ การเชื่อมแอปฯเป๋าตัง กับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เป็นมิติใหม่ของการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มพันธมิตรระดับชั้นนำของประเทศ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าประชาชนผู้ใช้งาน พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือร้านค้าขนาดเล็ก ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของการจ้างงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างโอกาสเพิ่มช่องทางการขายและโปรโมตให้กับร้านค้าต่างๆ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น โดยที่เม็ดเงินในโครงการยังคงไปที่ร้านค้าต่างๆ เพราะเป็นเงินช่วยในส่วนค่าอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่ร่วมค่าส่ง จึงช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ให้ผูประกอบการร้านอาหารรายเล็กรายน้อยโดยตรง สามารถประคับประคองกิจการให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
แอปฯเป๋าตัง ได้รับการพัฒนาโดย อินฟินิธัส บาย กรุงไทย (Infinitas by Krungthai) ซึ่งเป็นเรือเร็ว (Speed Boat) ของธนาคารที่ดำเนินงานอยู่บน 3 เสาหลัก คือ 1.การพัฒนาระบบโครงสร้างดิจิทัลพื้นฐานแบบเปิด (Open Banking Platform) 2.เป็นการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคนิวนอร์มอล ( Innovative Digital Business Platform) และ3.สร้างเป็นระบบเปิดที่รองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนไทย ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ให้สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างตรงจุด ด้วยการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่กำลังเข้าสู่ยุค Digital Economy ให้ทั่วถึงและสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่า หลังจากที่ LINE MAN ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง ทีมงานได้ดำเนินการยกเครื่องเชื่อมระบบหลังบ้านระหว่างแอปฯ LINE MAN และแอปฯเป๋าตังอย่างไร้รอยต่อ ให้ผู้ใช้สั่งอาหารได้ง่ายและจ่ายง่ายกว่าเดิม โดยสามารถกดจ่ายผ่านแอปฯเป๋าตังได้เลยทันทีเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นที่สุดในการสั่งอาหาร นอกจากนี้ยังได้เตรียมแคมเปญกระตุ้นตลาดครั้งใหญ่ "คุ้มคนละชั้น สั่งคนละครึ่ง" ทั้งส่วนลดค่าอาหารเพิ่มเติม โค้ดฟรีค่าส่ง และอีกมากมาย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยทั้งหมดนี้ LINE MAN ได้ทุ่มเทกำลังเพื่อตอกย้ำภาพความเป็นเบอร์ 1 ในการใช้จ่ายคนละครึ่งผ่านเดลิเวอรี่
ดร. เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า Grab รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในครั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ จึงได้มีการจัดแคมเปญล่าสุด "แกร็บฟู้ด สั่งเถิดชาวไทย" ที่มอบส่วนลดสูงสุด 60% จากร้านค้าทั่วไทยที่เข้าร่วมแคมเปญรวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 ดีล ตั้งแต่วันนี้จนถึง 24 ตุลาคม 2564 เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับคนไทย พร้อมยังได้มีมาตรการสนับสนุนร้านค้า ด้วยการปรับค่าคอมมิชชันในอัตราพิเศษสูงสุดไม่เกิน 20% ให้กับร้านค้าที่ร่วมโครงการคนละครึ่ง ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย และส่งเสริมเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้ดียิ่งขึ้น