บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐาน จาก FED เดินเกมเข้ม มองเป็นโอกาสซื้อ รับอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นใน 6 เดือน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 6, 2021 17:05 —ThaiPR.net

บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐาน จากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเข้มงวดทางการเงิน กังวลเงินเฟ้อพุ่ง และ Bond Yield เด้ง แต่ชี้ยังเป็นโอกาสช้อนซื้อ เพราะเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวใน 6 เดือนข้างหน้าจาก 3 มาตรการรัฐฯ ได้แก่ เปิดเมือง กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ และขยายเพดานหนี้สาธารณะหนุนรัฐเร่งใช้จ่าย

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อวันที่ 21 - 22 กันยายนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณเข้มงวด (Hawkish) ทางการเงินเพิ่มขึ้น โดย FED อาจเริ่มต้นลดการซื้อสินทรัพย์ลง (QE Tapering) ในเร็ว ๆ นี้ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ในอนาคต (Dot Plot) ในเดือนกันยายนบ่งชี้ว่า FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 จำนวน 3 ครั้ง จากประชุมครั้งก่อนครั้งก่อนที่คาดว่าจะขึ้น 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2567

ทั้งนี้ ภายหลัง FED มีท่าทีเข้มงวดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ตอบสนองด้วยการพุ่งขึ้นทะลุระดับ 1.5% เป็นจุดสูงสุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield แม้จะสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และคาดการณ์การปรับตัวขึ้นของภาวะเงินเฟ้อในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่ใช้สำหรับในการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ด้วย

จากประเด็นนี้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า Bond Yield ที่แตะระดับ 1.7 - 1.8% ขึ้นไป อาจกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยเกิดการปรับฐาน จากระดับการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก ซึ่งอิงจาก Earning Yield Gap (EYG) ที่ประมาณ 3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตลอดช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หากหุ้นไทยเกิดการปรับฐานขึ้นจากประเด็นดังกล่าว บล.ทิสโก้มองเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อ เนื่องจาก มีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จากปัจจัยบวกคือ (1) การทยอยคลายล็อกดาวน์และแผนการเปิดประเทศในแต่ละระยะ (2) การกลับมากระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ผ่านโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" เฟส 3 และ "ทัวร์เที่ยวไทย" และ (3) การขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะขึ้นเป็น 70% ของ GDP แสดงถึงรัฐบาลมีความพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า เพราะฉะนั้น เราจึงมองความผันผวนจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของ FED และโอกาสการปรับฐานของตลาดหุ้นโลกจากการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield จะเป็นจังหวะในการซื้อสะสม

อีกทั้ง ช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนจะเป็นฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 บล.ทิสโก้มองว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ออกมาแย่อย่างที่ตลาดกังวล และอาจมีโอกาสเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในไตรมาส 3 ของปีที่แล้วยังค่อนข้างต่ำ จากการหดตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและการปรับตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องมาจากผลกระทบจากการระบาดในปีที่แล้ว ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอาจทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย เพราะน่าจะมีกำไรจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีเข้ามาช่วยสนับสนุนเป็นสำคัญ อานิสงส์จากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง (ราคาน้ำมันดิบ Brent ในไตรมาส 3/2564 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 73 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น +69% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และ +6% QoQ

สำหรับหุ้นเด่นในเดือนตุลาคม จะเน้นหุ้นที่คาดงบจะออกมาดี และราคาพักฐานลงมาแล้วก่อนหน้านี้ มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น แนะนำ BBL, JWD, MTC, SFLEX, SMPC, SPALI, SPRC และ TWPC ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,590 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,640 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,660 จุดตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ