'บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์' หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ เตรียมพร้อมนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก 29 ต.ค.นี้ เผยกระแสตอบรับจากนักลงทุนดีเยี่ยม หลังยอดจองซื้อหุ้น IPO ล้น ชี้พื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง เดินหน้าเข้าลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 29 ตุลาคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อ 'TFM' ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังประสบความสำเร็จเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.30 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 13.50 บาท ในช่วงการเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมาก สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพและพื้นฐานธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งมีความแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ ที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศ ซึ่งภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ TFM วางแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศเป็นหลักผ่านโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ ได้แก่ 1. การเซ็นสัญญาความร่วมมือทางเทคนิคและอนุญาตให้ AVANTI Feeds Limited (AVANTI) ผู้ผลิตอาหารกุ้งรายใหญ่ของประเทศอินเดีย ใช้ชื่อทางการค้า (Trade Name) และสูตรการผลิตสินค้าของ TFM สำหรับการจำหน่ายอาหารกุ้งในประเทศอินเดีย 2. การเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ตั้งบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ชื่อว่า บริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด (TUKL) โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจ 2 กลุ่ม คือ 1.) พันธมิตรท้องถิ่น คือ PT Maxmar Summa Kharisma (PT MSK) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปอาหารแช่แข็งรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงมีการดำเนินธุรกิจฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งโดยมีผลผลิตกุ้งประมาณ 6,500 ตันต่อปี
และ 2.) กลุ่ม AVANTI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำรายใหญ่ในประเทศอินเดีย โดย TFM, PT MSK และกลุ่ม AVANTI มีสัดส่วนการถือหุ้นใน TUKL เท่ากับ 65%, 25% และ 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ TUKL ตามลำดับ ปัจจุบัน TUKL อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร กำลังการผลิตอาหารกุ้ง 36,000 ตันต่อปี คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จและเริ่มผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งได้ภายในสิ้นปี 2564 นอกจากนี้ TUKL ยังเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในขยายธุรกิจไปยังธุรกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารปลาในประเทศอินโดนีเซีย และมีแผนขยายธุรกิจไปยังธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำภายในปี 2566 โดยวางแผนลงทุนในสายการผลิตอาหารสัตว์น้ำเพิ่มเติมอีก 2 สายการผลิต ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 36,000 ตันต่อปี คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณไม่เกิน 250 ล้านบาท และ 3. การส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ประเทศศรีลังกา มาเลเซีย บังคลาเทศ พม่า ปากีสถาน และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เป็นต้น
โดยนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้ใน (1) การขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต (2) ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวนไม่เกิน 250 - 350 ล้านบาท ภายในเดือนมีนาคม 2565 เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ต่ำกว่า 1 เท่า และ (3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ
ประธานเจ้าหน้า,ที่บริหาร TFM กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีแผนในการเติบโตเละเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจากปัจจุบันที่ 3% ด้วยโมเดลขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตไปยังประเทศที่มีศักยภาพโดยนำความพร้อมทางด้านประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี บุคลากร แหล่งเงินทุน และกลยุทธ์ที่เหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจของ TFM เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับผลการดำเนินงานของ บริษัทฯ ในระยะยาวต่อไป
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TFM ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่ดี และถือเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพและมีแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับ ด้วยทีมผู้บริหารและคณะกรรมการที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการบริหารงานส่งผลให้ TFM สามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการเป็นบริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบ ชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการผนึกกำลัง (Synergy) ทำให้ TFM มีโอกาสในการเข้าลงทุนในบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของประเทศ รวมถึงได้ขยายการเติบโตไปในประเทศที่มีศักยภาพ และสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
"การสร้างการเติบโตของ TFM ไม่หยุดแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ TFM มองหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในต่างประเทศอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจใน 3 ประเทศที่ TFM ได้เข้าร่วมลงทุนและเข้าทำธุรกิจมาแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งอินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ถือเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์น้ำยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงการมีจำนวนประชากรค่อนข้างมาก โดยอินเดียมีประชากรราว 1.38 พันล้านคน อินโดนีเซีย 273.5 ล้านคน และปากีสถาน 220.9 ล้านคน ซึ่งจำนวนประชากรของแต่ละประเทศล้วนสะท้อนถึงความต้องการด้านการบริโภคได้ชัดเจน ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ TFM ซึ่งมีความพร้อมทางด้านความรู้ความเชี่ยวชาญในการผลิตและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีการผลิต เงินลงทุน และแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงกว้างในประเทศไทยและในระดับสากล ที่จะขยายฐานลูกค้าในประเทศดังกล่าว" นายพิเชษฐ กล่าว