บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ("บริษัทฯ") รับข่าวดี ทริสเรทติ้งให้อันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "A-" พร้อมปรับแนวโน้ม "คงที่" สะท้อนโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงของบริษัทฯ จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า รายได้ค่าบริการสาธารณูปโภค เงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้า รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ตามนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ ตลอดจนความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการบริหารทางการเงินท่ามกลางสถานการณ์โควิด และแผนธุรกิจที่ชัดเจนสอดคล้องกันของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุด ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศให้อันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A-" ปรับแนวโน้ม "คงที่" สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจโลจิสติกส์และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการเช่าสูงขึ้นตาม ปริมาณความต้องการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce และ Consumer การคาดการณ์ยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น ภายหลังสถานการณ์โควิดดีขึ้น ความชัดเจนของแผนการขยายธุรกิจไปยังประเทศเวียดนาม รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคที่สม่ำเสมอและมั่นคง จากฐานลูกค้าและความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า ตลอดจนรายได้เงินปันผลรับจากธุรกิจไฟฟ้ายังคงต่อเนื่องตามการขยายพอร์ตฟอลิโอ นอกจากนี้เครดิตองค์กรที่บริษัทได้รับ แสดงให้เห็นถึงการมีวินัยทางการเงิน การมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ความยืดหยุ่นและการมีประสิทธิภาพในการบริหารทางการเงินที่ส่งผลให้บริษัทมีฐานะที่มั่นคงจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์
โดยอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตที่บริษัทฯ ได้รับ นอกจากจะเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแรงของพื้นฐานธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ความมีประสิทธิภาพในการบริหารทางการเงิน ตลอดจนฐานะทางการเงินที่มั่นคง และความสามารถในการสร้างผลกำไรในระยะกลางและยาวแล้ว ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนต่างๆ ไม่ว่าจะจากทั้งตลาดทุนและสถาบันการเงิน เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในบริษัทฯ ที่ผ่านมาและตามแผนงานที่ได้วางไว้ในอนาคตอีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง แต่สำหรับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ถือว่าได้รับผลกระทบเชิงบวก โดยธุรกิจโลจิสติกส์สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจกลุ่ม E-Commerce และ Consumer Products ในขณะที่ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามายังภูมิภาคตามยุทธศาตร์ China Plus One รวมถึงมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมได้มากขึ้น สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้ายังคงสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ ประกอบกับแผนการขายทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูป และศูนย์กระจายสินค้าคุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถเซ็นต์สัญญาเช่าระยะสั้นผลตอบแทนสูงกว่า 100,000 ตารางเมตร เกินกว่าเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ รวมถึงจะสามารถส่งมอบโครงการใหม่อีก 5 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่เช่ามากกว่า 110,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปี นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัว "WHA Office Solutions" เพื่อนำเสนอพื้นที่สำนักงานให้เช่าบนทำเลศักยภาพสูงที่จะสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่กำลังมองหาออฟฟิศรูปแบบยืดหยุ่น ตลอดจนเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ผ่านเทคโนโลยีอัจฉริยะที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานของลูกค้าโลจิสติกส์ในระยะยาว รวมถึงสนับสนุนให้มีการจัดเก็บและนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ผ่านโซลูชันการให้บริการแบบครบวงจรร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจและบริษัท Startup ต่างๆ
ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบันบริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 12 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศไทย 11 แห่ง และเวียดนามอีก 1 แห่ง รวมถึง บริษัทฯ มีแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก 3 โครงการในประเทศไทย และ 2 โครงการในประเทศเวียดนาม ตามแผนการพัฒนาและเปิดดำเนินการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนจากทั่วโลก รวมถึงบริษัทฯ ยังเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการ Smart Eco Industrial Estate เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่เพียบพร้อมทั้งด้าน Smart Energy, Smart Utilities, Smart Mobility และอื่นๆ เพื่อรองรับการลงทุนและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าในอนาคตอีกด้วย
นโยบายเปิดประเทศ มาตรการปลดล็อคการเดินทาง รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายภายหลังการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศไทยและหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นสภาวะการค้าการลงทุนของภูมิภาค และส่งผลดีต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ กอปรกับประเทศจีนในขณะนี้มีปัญหาวิกฤตการขาดแคลนพลังงานที่ผลักดันให้นักลงทุนมีความสนใจย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยและเวียดนามจำนวนมาก
ด้านธุรกิจสาธารณูปโภค ปริมาณการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำทั้งในและต่างประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้ารายใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี กอปรกับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มีการใช้มาตรการ Bubble and Seal ที่สามารถช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำไม่ได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างอีกหลายโครงการ อาทิ โรงบำบัดน้ำแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (WHA RY36) กำลังการผลิต 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โครงการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุสำหรับจำหน่ายแก่ลูกค้านอกนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และโครงการแหล่งน้ำดิบทางเลือก กำลังการผลิต 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เป็นต้น
ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ เดินหน้าขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนการเป็นผู้นำการให้บริการครบวงจรในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Private PPA ที่มีผลิตภัณฑ์นำเสนอแก่ผู้ประกอบการครบทุกรูปแบบ ควบคู่กับการพัฒนาโซลูชันพลังงานผ่านการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาให้บริการกลุ่มลูกค้าทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งสิ้นกว่า 63 เมกะวัตต์ จากเป้าหมายปี 2564 ที่วางไว้ 90 เมกะวัตต์ และยังมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปีนี้อีกจำนวน 9 โครงการ รวมกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 10.9 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน ภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมสมัยใหม่ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ บมจ.ปตท. และ บริษัท เซอร์ทิส เพื่อพัฒนา Exchange แพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเหล่านี้จะก่อให้เกิดโอกาสทั้งด้านรายได้และ Business Model รูปแบบใหม่ควบคู่ไปกับการมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมได้ใช้ไฟฟ้าในราคาและต้นทุนที่เหมาะสมอีกด้วย
ปี 2564 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายทั่วโลก สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งการดำรงชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการ Transform องค์กรเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยการพัฒนาเทคโนโลยีหรือระบบ IT ที่ทันสมัย รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน การบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการคิด การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า การบริหารทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลไปจนถึงการเพิ่มพูนวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสามารถตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต