ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในประเทศอาเซียน จะมีการเติบโตที่ดี จะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น หลังปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต ประมาณ 2% เท่านั้น และคาดว่าประเทศเวียดนามจะเป็นประเทศที่มีเม็ดเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าไปลงทุน เพราะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้แรงหรือฟื้นในลักษณะตัว V โดยจะเริ่มเห็นการเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป และปีหน้าคาดว่าจีดีพีจะโตประมาณ 4-6% จากจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 ที่จีดีพีติดลบ 6.1%
นอกจากนี้ จะเห็นการดำเนินมาตรการทางการคลังด้วยการอัดฉีดเงินประมาณ 2% ของจีดีพีหรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีหน้า คาดว่าจะนำไปใช้ในการลงทุนด้านต่างๆ ขณะที่นโยบายการเงิน โดยเฉพาะดอกเบี้ย ที่ยังต่ำ เงินเฟ้อต่ำและค่าเงินดองก็มีเสถียรภาพมาก เห็นได้จากเงินดองที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 2.2 หมื่นดองต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 2.4 หมื่นดองต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายหลังมีการเปลี่ยนนโยบายในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้แข็งค่าขึ้นหรือ a stronger currency policy มีฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่หนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับ 58% ของจีดีพีและในขณะที่เวียดนามมีเงินทุนสำรองกว่า 1 แสนล้านๆเหรียญ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดจะเป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุน เพราะเวียดนามมีสถานะทางการเงินและการคลังที่แข็งแกร่ง
แม้เวียดนามจะเผชิญกับโควิด-19 แต่การลงทุนตรง (FDI) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 ขยายได้มากกว่า 22% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน การส่งออกก็มีการเติบโตที่ดี ซึ่งคาดกันว่าปีนี้การส่งออกจะขยายตัวเลข 2 หลัก
ในส่วนของตลาดหุ้นเวียดนามก็มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันขึ้นมาอยู่ที่ 3-4 หมื่นล้านบาท และงวด 9 เดือนที่ผ่านมาหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 23% สูงกว่าหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทน 11% มีพี/อี ถูก ที่ 15 เท่า และมีโอกาสสูงมากที่จะเห็นการปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นหรือ EPS Growth เกิดขึ้นและปีหน้าคาดว่าจะมี EPSประมาณ 14 % อีกทั้งมีการคาดกันว่าในปี 2025 ตลาดหุ้นเวียดนามจะเข้าไปอยู่ในการพิจารณาของดัชนี MSCI และปัจจุบันอยู่ใน Watch list ของฟุตซี่ คาดว่าเมื่อตลาดหุ้นเวียดนามเข้าไปอยู่ใน MSCI ก็จะเห็นเม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ในอนาคต ดังนั้นในมุมมองของ ทรีนีตี้ เวียดนามคือกลยุทธ์ที่ต้องลงทุน หรือ "Vietnam as a Strategic Asset Allocation" นักลงทุนจะต้องมีการลงทุนในเวียดนามประมาณ 5-10 %ของพอร์ตลงทุนรวมทั้งหมดและกลยุทธ์นี้ต่อเนื่องไปถึง 5-10 ปี ข้างหน้าจากโอกาสและการเติบโตต่างๆ ที่จะเกิดกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนาม
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนที่สนใจจะเข้าลงทุนในเวียดนามสามารถลงทุนผ่าน "กองทุน SSI-SCA" หรือ SSI Sustainable Competitive Advantage Fund ที่ทรีนีตี้ได้เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายกองทุนแต่เพียงผู้เดียว โดยกองทุนดังกล่าวบริหารโดย SSI Asset Management (SSIAM) ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมทั้งสิ้น 247 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถือหุ้นโดยบริษัท Saigon Securities Incorporation (SSI) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในด้านส่วนแบ่งทางการตลาดและรายได้ ซึ่งทั้ง SSI และ SSIAM ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องและกำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศเวียดนาม (SSC) ซึ่งกองทุนเวียดนาม SSI-SCA นี้ นักลงทุนมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 แสนบาทก็สามารถลงทุนได้
อย่างไรก็ตามในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2564 กองทุน SSI-SCA สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ประมาณ 43-44% ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีมากท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ซึ่งในพอร์ตนั้นลงทุนในหุ้นที่เป็นท้อปโฮลดิ้งประมาณ 4 บริษัทประกอบด้วย HPG ทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ MWG ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ VHM ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FPT บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม นอกจากจากนี้กองทุนยังมีเงินสดสำรองในมือประมาณ 17.9% ของสินทรัพย์รวมเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
สำหรับกองทุน SSI-SCA มีนโยบายการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยพิจารณาพื้นฐานของกิจการและความสามารถ ในการทำกำไรเป็นหลัก เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่โตไปกับการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจของประเทศและครองส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละอุตสาหกรรม ที่สำคัญต้องมี margin of safety สูงและมูลค่า ทางตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท โดย Sector ที่ลงทุน ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น
"กองทุน SSI-SCA บริหารงานโดยทีมงานนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนชาวเวียดนาม ที่มีความรู้ความเข้าใจตลาดหุ้นเวียดนามเป็นอย่างดี ทำให้มีความเข้าใจในระบบความคิด วัฒนธรรม และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ลึกกว่าคนต่างชาติ มีความสามารถในการเสาะหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นและเจาะเข้าไปถึงข้อมูลเชิงลึกทั้ง qualitative และ quantitative เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นและกิจการเพื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัว จึงทำให้กองทุน SSI - SCA มีผลตอบแทนสะสมที่น่าพอใจ โดยหากดูจากข้อมูลย้อนหลังของกองทุนจะพบว่าผลประกอบการในอดีตชนะ VN Index โดยผลประกอบการรวมนับตั้งแต่เริ่ม ตั้งกองทุนปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 ถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 215.55% "ดร.วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย