"TMI" ออกหุ้นกู้รอบ 2 อีก 100 ล้านบาท เน้นลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ หวังดันรายได้ครึ่งปีหลัง ชี้ที่เหลือของปียังทรงตัวได้
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 100 ล้านบาท ชื่อ "หุ้นกู้มีประกันของบริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2564 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2566 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน" หรือ TMI238A อายุไม่เกิน 1 ปี 9 เดือน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน ) หรือ KTBST เป็นผู้ยื่นคำขอและเสนอขายตราสารหนี้ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้เสนอขายแล้ว เมื่อวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (PP-II & HNW) เสนอขายจริงได้เต็มจำนวน 100 ล้านบาท และออกตราสารหนี้เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 โดยครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 5 สิงหาคม 2566 อัตราดอกเบี้ย 6.75% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
สำหรับวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เป็นการระดมทุนให้กับบริษัท กรีนเอิร์ธ เอ็นเนอร์จี จำกัด (GEE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ในจังหวัดสุพรรณบุรี และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการของบริษัทฯ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 150 ล้านบาท ชื่อ "หุ้นกู้มีประกันของบริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน" (TMI236A) อายุ 2 ปี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา โดยเสนอขายได้ 98.4 ล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ย 6.75% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
"การออกในหุ้นกู้ครั้งนี้ ถือเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 2 ในรอบปี โดยครั้งแรกออกเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าของการออกหุ้นกู้ทั้ง 2 ครั้ง รวมอยู่ที่ 198.4 ล้านบาท สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ส่วนใหญ่เพื่อการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพและเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจพลังงานเพิ่มขึ้น โดยเริ่มจากการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเพิ่มขึ้น" นายธีระชัยกล่าว
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทฯ น่าจะรักษาการเติบโตไว้ได้ จากการขายไฟฟ้าซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ประเมินว่าการขายไฟฟ้าจะส่งผลให้มีการปรับสัดส่วนรายได้ หลักจากการขายหลอดไฟลดลงและมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ วางแผนที่จะพัฒนาและต่อยอดขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมต่อมากยิ่งขึ้น